มหาสมุทรถือเป็นพื้นที่ 3 ใน 4 ของโลก ยังมีความลึกลับมากมายที่ยังไม่ถูกค้นพบ ภายใต้มหาสมุทร ส่วนลึกนั้นยังคงเป็นปริศณาว่า มีสัตว์ หรือ สิ่งมีชีวิตอะไรอาศัยอยู่บ้าง สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าคืออีกหนึ่งเรื่องลึกลับที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถหาคำตอบที่ชัดเจนถึงปรากฎการณ์ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งเรือ เเละ เครื่องบินที่สูญหายไป ทำให้บางคนเชื่อว่า สามเหลี่ยมเบอร์บิวด้า คือ พื้นที่อาถรรพ์ในมหาสมุทรที่จะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างให้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา หรืออาจรู้จักกันในชื่อสามเหลี่ยมปีศาจ เป็นพื้นที่สมมุติทางตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ซึ่งมีการอ้างว่ามีเครื่องบินเเละเรื่อจำนวนหนึ่งหายสาบสูญไปโดยหาสาเหตุมิได้ ในบริเวณดังกล่าว บ้างก็ว่าเป็นปรากฏการ เหนือธรรมชาติ บ้างก็ว่าเป็นสถานที่ ที่มนุษย์ต่างดาวสร้างไว้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีเนื้อที่ประมาณ 1.14 ล้านตารางกิโลเมตร เป็นจุดเชื่อมระหว่าง 3 ที่ ฟลอริดา เปอร์โตริโกและเกาะเบอร์มิวด้า
จากบันทึกทางสถิติของบริษัท Lioyd’s ov London ซึ่งเป็นบริษัทรับประกันภัยเรือเดินสมุทรพบว่า นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 ถึง 1973 มีเรือในประกันของบริษัทจำนวน 60 ลำ รวมผู้โดยสาร 900 คนได้หายสาบสูญไปในบริเวณน่านน้ำเบอร์มิวด้า โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1967 มีเรือทะเล เรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้หายไปอย่างลึกลับ เป็นจำนวน 15 ลำ ทั้ง 15 ลำไม่มีการส่งสัญญาณ “SOS” หรือส่งวิทยุขอความช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้นสิ่งที่น่าแปลกใจคือเรือทั้ง 15 ลำนั้นเป็นเรือขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ช่วยในการเดินเรือแบบทันสมัย เช่นวิทยุสื่อสาร เรดาร์นำร่อง โซน่าร์นำร่องการค้นหาเรือที่สูญหายใช้เวลาหลายเดือนๆ เเต่ก็ไม่พบร่องรอยเลยเเม้เเต่น้อย
ตัวอย่างอีกรายหนึ่ง คือ การหายสาบสูญของฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดของประเทศสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 , เครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ จำนวน 5 ลำ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องทั้งหมด 14 นายได้ออกทำการบินฝึกทิ้งระเบิด ห่างจากฐานทัพฟอร์ทล๊อคเดอร์เดลประมาณ 225 ไมล์ เหนือพื้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เครื่องบินทั้ง 5 ลำได้หายสาบสูญ ไปอย่างไร้ร่องรอย ทางสหรัฐฯ ได้ส่งเครื่องบินผู้พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง 13 นาย ออกตามหา เครื่องบินที่หายไป 20 นาทีต่อมา ทีมช่วยเหลือ ก็หายสาบสูญไปเช่นกัน โดยขาดการติดต่อกับหอบังคับการ และหายไปอย่างลึกลับจวบจนปัจจุบัน
นับตั้งแต่ปีค.ศ.1800จนถึงปีค.ศ.1976มีเรือและเครื่องบินหายสาบสูญไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าแล้วเป็นจำนวน 143 ราย รวมชีวิตมนุษย์เท่าที่ทราบแน่นอนเป็นจำนวน 2,101 คน ที่ต้องสังเวยไปในดินแดนอาถรรพณ์แห่งนี้เมื่อเปรียบเทียบความเสียหายในบริเวณนี้กับบริเวณเส้นทางเดินเรืออื่น ๆ แล้ว พบว่าแถบเบอร์มิวด้าดูเหมาะกับการเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ เพราะในน่านน้ำที่อื่นๆ ยังไม่มีสถิติการสูญหายมากเท่านี้เลย
มีการรายงาน ของนักบิน ร้อยเอกเทเลอร์ (Charles Taylor) ได้ส่งวิทยุติดต่อแจ้งเข้ามา ยังหอบังคับการบินที่ Fort Lauderdale Naval Air Station ในขณะที่กำลังบินกลับจากการฝึกบินตามปกติ เขาแจ้งเข้ามาด้วยวิทยุความถี่ฉุกเฉินว่า “เข็มทิศหมุนอย่างบ้าคลั่ง ผมจับทิศไม่ถูกแล้วผมไม่ทราบตำแหน่งว่าผมอยู่ที่ไหน” จากนั้นเสียงก็ขาดหายไป และแล้วร้อยเอกเทเลอร์กับเครื่องบินของเขาก็ไม่ปรากฏตัวที่ไหนอีกเลย เขาหายสาบสูญไปชั่วนิรันดรจากการรายงานทำให้เราพบว่า มีพลังงานบางอย่างส่งผลกระทบกับเครื่องมือนำทางอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมด โดยเฉพาะเข็มทิศแม่เหล็ก เช่นเข็มทิศ เครื่องวัดความสูง เครื่องวัดความเร็ว และเครื่องมือสื่อสาร
ฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดที่ 19 ของสหรัฐอเมริกา จำนวน 5 ลำ ได้ออกบินฝึกตามภารกิจปกติ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 และได้หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ ถึงแม้จะมีการระดมหน่วยค้นหาตามล่ากันอย่างละเอียดถี่ถ้วนครอบคลุมพื้นที่ทุกๆ ตารางฟุต กว้างถึง 380,000 ตารางไมล์ แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา โดยรายงานสุดท้ายที่ที่รับฟังได้จากวิทยุ ณ ฐานทัพภาคพื้นดิน ตอนหนึ่งกล่าวด้วย น้ำเสียงของคนตกใจสุดขีดว่า.. “อย่าตามผมมา แยกกันออกไป แยกกันออกไป” แล้วเสียงวิทยุก็ถูกตัดขาดทันที เหมือนกับว่ามีใครไปปิดเครื่องส่งของเขาฉะนั้น ร้อยเอกโรเบิร์ต คอส บินเข้าไปพบอะไร ไม่มีใครทราบ แต่สิ่งที่เขาพบต้องเป็นสิ่งที่น่ากลัวจนทำให้เขาสั่งลูกฝูงไม่ให้บินตามเข้าไป แต่ก่อนหน้านั้นมีเสียงวิทยุโต้ตอบกันระหว่างจ่าฝูงกับลูกฝูงของเขา ซึ่งรับฟังได้ยินไม่ชัดเจน เป็นเสียงขาดๆ จางๆ และมีคลื่นแทรกรบกวนมาก พอจะจับความได้บ้างบางตอนว่า ฝูงบินที่ 19 กำลังหลงเข้าไปในสภาพบรรยากาศอันผิดปรกติ แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง เสียงของนักบินจ่าฝูงได้พูดว่า “สงสัยว่าเราหลงทางทำไมแถวนี้มีแต่หมอกสีขาวเรืองแสงไปหมด เฮ้ พื้นน้ำเป็นสีขาว ไปหมด มองไม่เห็นท้องฟ้า มันขาวโพลนไปหมด” นี่เราอยู่ที่ไหนกัน เข็มทิศผมมันหมุนติ้วไปหมดแล้ว “แล้วทุกอย่างก็เงียบหายไป ฝูงบินที่ 19 หายสาบสูญไปจากโลกของเราชั่วนิรันด์
อีกตัวอย่างของปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ ได้แก่รายงานการหายตัวอย่างลึกลับของเครื่อง 727 หายวับจากจอเรดาร์ของสนามบินไมอามี่ ขณะเรื่อง 727 ลำนั้นกำลังร่อนลงสู่สนามบิน ของสายการบิน National airline ผ่านเข้าหมู่เมฆขาวก้อนเล็กๆ จู่ ๆ ก็หายวับไปจากจอ เรดาร์ พนักงานหอบังคับการต่างวิ่งกันวุ่นกดปุ่มสัญญาณเตรียมลงฉุกเฉิน บางคนกล้องส่องทางไกล เผ่นออกไปนอกบังคับการ เพื่อมองหาแต่ไม่มีใครเห็นอะไร นอกจากก้อนเมฆก้อนนั้น ภาพปรากฏใหม่บนจอเรด้าร์ แล้ว 727 ก็บินลงสนามทางปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งบินและผู้โดยสานเครื่องบิน 727 ต่างงงไปตามๆ กันเมื่อเห็นว่ามีรถดับเพลิง รถพยาบาล รถกู้ภัย ของสนามบินต่างวิ่งตามกันมาห้อมล้อมกันเต็มไปหมด
เครื่องบินได้หายไปในกลุ่มเมฆนานถึง 10 นาที โดยที่ 10 นาทีนั้นไม่มีใครรู้เลยว่า เครื่องบินได้หายไปไหน เเละหายไปได้อย่างไร จากการพูดคุยกับผู้โดยสาร เเละนักบินยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัยเพิ่มาากขึ้น นักบินกล่าวว่า มันแปลกอยู่หน่อยที่เมฆก้อนนั้นมันมีความสว่างผิดปรกติธรรมดา คล้ายกับว่ามันมีแสงเรืองในตัวเอง แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรเลย ผมไม่เข้าใจว่าเวลามันหายไปตอนไหน เจ้าหน้าที่หอบังคับการเขาว่าผมบินหายเข้าไปในเมฆนานถึง 10 นาที แต่มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ เพราะเมฆมันก้อนเล็กนิดเดียว ผมบินทะลุเมฆลงมาในเวลาไม่ถึง 3 วินาทีก็ออกมาเป็นทางวิ่งลงแล้วนี่ครับ” เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นปริศนา เเละไม่มีใครสามารถ หาคำตอบ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้
ทฤษฎีเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิสด้ามีอยู่มากมาย เเต่มีเพียงหนึ่งทฤษฎีเท่านั้น ที่น่าเขื่อถือ เเละสามารถอธิบายถึงปรากฏการณ์ต่างๆ ได้ ศาสตราจารย์โจเซฟ โมนาแกน และเดวิด เมย์ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโมนาช กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ได้ทำการศึกษากและพบว่า ความ จริงแล้วบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าไม่ได้เป็นประตูมิติหรือดินแดนสิ่งมีชีวิตทรงปัญญากว่ามนุษย์แต่อย่างใด แต่พื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่ที่มีก๊าซมีเธนอยู่ใต้ท้องทะเลเป็นจำนวนมาก จนปะทุขึ้นเหนือท้องทะเล ซึ่งก๊าซมีเธนนี้เมื่อขยายตัวเป็นวงกว้างแล้ว ไม่ว่าวัตถุใดๆเคลื่อนที่ผ่าน มันก็จะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างให้จมลงสู่ห้วงทะเลลึกอย่างรวดเร็ว
ทฤษฎี ดังกล่าว จึงกลายเป็นทฤษฎีที่น่าเชื่อถือได้มากที่สุด และอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าได้อย่างชัดเจน ที่สุด ดังนั้นจึงไม่แปลกหากที่ผ่านมา เรือหรือเครื่องบินหลายลำจะเสียการควบคุมก่อนถูกดูดกลืนให้จมลงสู่ท้องทะเล ลึกอย่างไร้ร่องรอยใดๆให้เห็น เพราะก๊าซมีเธนจำนวนมากนี้จะมีพลังมหาศาลที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจมลงสู่ก้นบึ้งของท้องทะเล ส่วนคำถามที่ว่าแล้ววัตถุที่จมลงสู่ท้องทะเลนั้น หายไปไหน ทำไมไม่มีใครเคยค้นพบเศษซากของเรือและเครื่องบินที่สูญหายเลยซักครั้ง นั่นก็เป็นเพราะว่าไม่มีใครกล้าเดินทางเข้าไปในบริเวณดังกล่าว และนักสำรวจที่เคยเดินทางเข้าไปเพื่อตรวจสอบความจริงบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็ไม่เคยมีใครรอดชีวิตมาเพื่อให้ข้อมูลใด ๆ ได้เลย
สามเหลี่ยทเบอร์มิวด้า ก็ยังคงเป็นสถานที่อันตราย เเละถึงเเม้จะมีทฤษฎีที่น่าเชื่อถือ เเต่ก็ยังคงไม่มีการพิสูจน์ มีหลักฐานที่เเน่ชัด เรือเเละเครื่องบินที่จมหาย ก็ยังคงไม่มีใครค้นพบ เพราะก็ยังไม่สามารถเข้าไปในส่วนของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เพื่อค้นหาได้เลย อีกทั้งยังไม่เคยมีใครรอดชีวิต มาเพื่อให้ข้อมูลอีกด้วย ถ้าใครชอบบทความสาระดีดีอย่างนี้ ก็อย่าลืมกดติดตามและกดกระดิ่งช่อง eduHUB กันด้วยนะครับ