ในทุกวันนี้เราแทบจะทุกคนที่จะมียานพาหนะเป็นของตัวเอง บ้างก็มีรถยนต์บ้าง บ้างก็มีรถมอเตอร์ไซด์ ที่จะช่วยในการอำนวยความสะดวกของมนุษย์ทุกคนในการเดินทาง ในทุกวันนี้เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับยานยนตร์นั้นได้พัฒนาให้ล้ำสมัยและตอบโจทย์วิถีชีวิตของมนุษย์ในชีวิตระจำวัน รวมทั้งมีเทคโนโลยีที่สร้างความปลอดภัยให้กับผู้ใช้มีความมั่นใจในการใช้ยานพาหนะนั้นๆมากยิ่งขึ้น
.
ซึ่งในอนาคต เทคโนโลยียานยนต์ก็จะมีการพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ ซึ่งจะนำระบบไฟฟ้าและระบบดิจิทัลเข้ามาใช้มากยิ่งขึ้น ทำให้รถยนต์ในอนาคตสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดข้อผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นบนท้องถนนให้น้อยที่สุด วันนี้พวกเรา eduHUB จึงได้นำ 5 เทคโนโลยีรถยนต์ในอนาคตสุดล้ำ มาฝากเพื่อนๆกัน แต่ก่อนจะไปรับฟังเรื่องราวสนุกๆในวันนี้ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลัก Chatbee แอพหาคนรู้ใจใกล้คุณ โหลดเลยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
.
1.ระบบยานยนต์อิสระ
ระบบยานยนต์อิสระนี้เป็นระบบที่ยานยนต์สามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างอัตโนมัติ อย่างเช่นรถเทสลาของอีลอน มัสก์ ที่ผู้ขับสามารถกรอกข้อมูลระบุเป้าหมายปลายทาง และรถก็จะพาไปยังจุดหมายได้อย่างปลอดภัย โดยระบบยานยนต์อิสระมีการแบ่งระบบการทำงานเอาไว้ 6 ระดับ คือ
.
1.ระดับ No Automation คือระดับที่ไม่มีระบบอัตโนมัติ ผู้ขับควบคุมเองทุกอย่าง ซึ่งรถส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นระดับนี้
2.ระดับ Driver Assistance คือระดับที่มีระบบอัตโนมัติเข้าในการทำงานบางอย่างเช่น ควบคุมคันเร่งอัตโนมัติ ควบคุมพวงมาลัยให้อยู่ในเส้นทางอัตโนมัติ แต่ระดับนี้จะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างการควบคุมโดยมนุษย์และระบบอัตโนมัติ ซึ่งเราก็จะสามารถเห็นเทคโนโลยีนี้ได้ในรถรุ่นใหม่ๆ ที่เริ่มมีใช้กันเเล้ว
3.ระดับ Partial Automation คล้ายกับระดับที่แล้วที่มีการทำงานทั้งอัตโนมัติและควบคุมด้วยผู้ขับ แต่ระดับนี้จะมีเทคโนโลยีที่สามารถปรับความเร็วตามความเร็วข้างหน้า มีระบบควบคุมพวงมาลัยและระบบเบรค ซึ่งผู้ขับสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัยได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามผู้ขับก็ต้องสังเกตเส้นทางด้วยตนเองตลอดเวลาเพื่อป้องกันการขับเคลื่อนที่ผิดพลาดได้
4.ระดับ Conditional Automation ระดับนี้จะมีเทคโนโลยีเพิ่มเข้ามามากยิ่งขึ้น รถยนต์สามารถเร่งคันเร่งได้เอง ควบคุมพวงมาลัยได้เอง เปลี่ยนเลน เบรค จอดรถเข้าซอง ซึ่งเป็นการทำงานอัตโนมัติเกือบ 100% โดยที่ผู้ขับแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ถ้าระบบมีเสียงเเจ้งเตือนให้ผู้ขับช่วยในการบังคับกลไกบางอย่าง ผู้ขับก็จะต้องเปลี่ยนมาควบคุมด้วยตนเอง ในปัจจุบันนี้ก็มีรถบางบริษัทที่ได้พัฒนามาถึงระดับนี้ ได้แก่ เทสลา ออดี A8
5.ระดับ High Automation ระดับนี้เป็นเทคโนโลยีของรถยนต์ที่ไม่ต้องมีคนบังคับอีกต่อไป ไม่จำเป็นที่ผู้ขับจะต้องนั่งสังเกตเส้นทางหรือจะต้องเตรียมพร้อมเพื่อช่วยบังคับยานยนต์ ในเทคโนโลยีระดับนี้รถจะสามารถขับเคลื่อนได้เองตั้งแต่สตาร์ทไปจนถึงจอดรถยังจุดหมายปลายทาง ตอนนี้มีการทดสอบระดับนี้แล้วก็คือของ Waymo และ Self-driving Cars
6.ระดับ Full Automation เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงสุด เป็นรถที่สามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ จะไม่มีพวกมาลัยในห้องโดยสาร สามารถเดินทางไปยังเป้าหมายปลายทางได้อย่างอัตโนมัติ เหมือนกับหนัง Sci-Fi ที่เราเคยได้รับชมกัน
.
2.ระบบ Driver Override System
เป็นระบบที่คล้ายกับระบบยานยนต์อิสระ ซึ่งเทคโนโลยีนี้เองนั้นจะช่วยควบคุมเครื่องยนต์ตามกลไกสมองกล โดยมันจะมีการวิเคราะห์ความปลอดภัยทางท้องถนน และจะมีการเบรคเองอัตโนมัติเมื่อรถนั้นสามารถจับความผิดปกติจากความเสี่ยงที่จะเฉี่ยวชนหรือจะเกิดอุบัติเหตุ โดยมันจะตัดเข้าระบบอัตโนมัติทันที
.
ถึงแม้ว่าผู้ขับจะตกใจแล้วเหยียบคันเร่งค้างแค่ไหน รถยนต์ก็จะสามารถควบคุมให้รถจอดได้อย่างปลอดภัย ซึ่งถือว่าเป็นรถที่มีการตัดสินใจโดยคอมพิวเตอร์ไม่ใช่ตัวคนขับ นับว่าเป็นระบบอัจฉริยะที่สร้างความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้รถใช้ถนน
.
3.ระบบ Biometric Vehicle Access
เป็นระบบการเข้าใช้งานรถยนต์โดยใช้ลายนิ้วมือ หรือม่านตาที่เป็นลักษณะจำเพาะของมนุษย์ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของรถ โดยเทคโนโลยีนี้จะทำให้เราสามารถเปิดรถ สตาร์ทรถ ด้วยนิ้วมือ ม่านตา หรือคำสั่งเสียงที่มีลักษณะจำเพาะป้องกันการโดนโจรกรรมรถ นับว่าเป็นการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงและจะสามารถลดคดีรถหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
4.ระบบ Remote Shutdown Vehicle
เป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่ตอนนี้เริ่มใช้กันแล้วในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการปิดระบบของรถยนต์เมื่อเจ้าของรถรู้ตัวว่ารถตนเองนั้นได้ถูกโจรกรรมไปแล้ว โดยระบบนี้จะสามารถปิดระบบรถยนต์ได้ในระยะไกล
.
ในการใช้เทคโนโลยีนี้จะสามารถช่วยให้ตำรวจนั้นได้ทำงานปิดคดีได้รวดเร็ว ซึ่งตั้งแต่มีการใช้ระบบนี้ที่สหรัฐอเมริกาที่ผ่านมา สามารถตามรถกลับมาได้หลายร้อยคันจากการโจรกรรม จึงนับว่าเป็นเทคโนโลยีที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อผู้ใช้รถทุกท่านเป็นอย่างมาก
.
5.ระบบ Active Health Monitoring
เป็นระบบในการตรวจสอบสุขภาพของผู้ขับโดยจะใช้อุปกรณ์ภายในรถยนต์ที่สามารถสัมผัสผู้ขับหรือส่งสัญญาณเพื่อตรวจจับข้อมูลทางสุขภาพของผู้ขับ เช่น สายเข็มขัด ในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งจะทำให้รถสามารถจับความผิดปกติทางร่างกายของคนขับหากเกิดเหตุฉุกเฉินก็จะมีระบบอัตโนมัติที่จะแจ้งไปยังโรงพยาบาลและหน่วยฉุกเฉินให้สามารถมาช่วยเหลือได้ทันเวลา
.
และนี่คือ 5 เทคโนโลยีของรถยนต์ในอนาคตที่คาดว่าน่าจะได้ใช้งานในอนาคตอันใกล้นี้แล้ว เพื่อนๆจะเห็นว่าเทคโนโลยียานยนต์เหล่านี้นอกจากจะออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับแล้วยังออกมาเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จึงต้องยอมรับว่าผู้พัฒนาเทคโนโลยีแต่ละบริษัทนั้นคิดรอบด้านมากจริงๆ และคิดว่าอีกไม่นาน เราก็อาจจะได้ใช้รถยนต์ที่มีเทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้บนท้องถนนประเทศไทยของเราอย่างแน่นอน ก่อนจะไปในวันนี้ ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลัก Chatbee แอพหาคนรู้ใจใกล้คุณ โหลดเลยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป