เพื่อนๆ เชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวกันบ้างมั้ยคะ ในจักรวาลที่กว้างใหญ่เต็มไปด้วยดวงดาวกว่าล้านล้านดวง มันจะมีดาวสักดวงบ้างมั้ยที่มีสิ่งมีชีวิตคล้ายกับโลกของเรา แต่ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ประเทศที่เป็นผู้นำทางด้านอวกาศอย่างสหรัฐอเมริกาก็เชื่อในความเป็นไปได้ที่จะเจอมนุษย์ต่างดาวอย่างแน่นอน โดยเราจะเห็นได้จากภารกิจสำรวจอวกาศมากมายที่ทางนาซาส่งขึ้นไปเพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก
.
และด้วยความเชื่อว่าวันหนึ่งเราจะได้เจอกับเอเลี่ยนที่อาศัยอยู่บนดาวอันไกลโพ้น ทางสหรัฐฯ จึงได้คิดโครงการ “แผ่นบันทึกข้อมูลทองคำ” ขึ้นมา โดยแผ่นบันทึกข้อมูลนี้ทำจากแผ่นทองแดงและเคลือบผิวด้านนอกด้วยทองคำ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 เซนติเมตร
.
ภายในบันทึกภาพทั้งหมด 117 ภาพ และมีบันทึกเสียงที่แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติบนโลก อย่างเช่น เสียงร้องของวาฬหลังค่อม รวมถึงเสียงที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก อย่างการกล่าวทักทายทั้งหมด 54 ภาษาและมีเสียงดนตรีจากวัฒนธรรมต่างๆ รวมความยาวทั้งสิ้น 90 นาที
.
หลังจากนั้นนาซาก็ได้ส่งแผ่นบันทึกทองคำขึ้นไปกับยานสำรวจอวกาศจำนวน 2 ลำ ในโครงการวอยเอจเจอร์ในปี 1977 เผื่อว่าสักวันหนึ่งยานทั้งสองจะบังเอิญเจอกับมนุษย์ต่างดาวเข้า มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นจะได้เอาแผ่นบันทึกนี้ไปเปิดดูและรับรู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างพวกเราอยู่
.
คาร์ล เซแกน ประธานคณะกรรมการส่วนคัดเลือกเนื้อหา กล่าวถึงโครงการนี้ว่ามันเหมือนการหย่อนขวดใส่ข้อความลงในมหาสมุทรและคาดหวังว่าวันหนึ่งใครสักคนจะเก็บขวดใบนั้นได้ ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่สามารถค้นพบยานลำนี้และเล่นแผ่นบันทึกได้ก็น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่ทรงภูมิปัญญาอย่างแน่นอน
.
ซึ่งตอนนี้ยานสำรวจวอยเอจเจอร์ 1 ก็เดินทางออกไปถึงชั้นอวกาศที่อยู่ระหว่างดาวฤกษ์ (interstellar space) แล้ว แม้ว่ายานลำนี้ไม่ได้มีเป้าหมายจะลงจอดบนพื้นผิวของดาวดวงใดเป็นพิเศษ แต่ก็คาดว่าจะโคจรเข้าใกล้ดวงดาวที่น่าสนใจหลายดวง เช่น ดาว Gliese 445 ในกลุ่มดาวยีราฟ แล้วถ้าหากดาวเหล่านี้มีมนุษย์ต่างดาวที่มีสติปัญญาล้ำหน้ามนุษย์อาศัยอยู่จริง พวกมันก็ต้องสังเกตเห็นยานลำนี้และเก็บไปศึกษาแน่
.
ฟังดูเป็นโปรเจกต์ที่น่าจะเป็นความหวังของมนุษยชาติในการค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกเลยใช่มั้ยคะ แต่สำหรับนักวิชาการรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งกลับไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้ เพราะพวกเขามองว่า ต่อให้มนุษย์ต่างดาวมีจริงและเก็บแผ่นบันทึกดังกล่าวไปเปิดดู ข้อมูลในแผ่นบันทึกนั้นก็อาจทำให้มนุษย์ต่างดาวสับสนเกี่ยวกับข้อมูลของโลกได้
.
แม้ว่าทางสหรัฐฯ จะพยายามเขียนข้อมูลในแผ่นบันทึกนั้นให้มนุษย์โลกดูเป็นสิ่งมีชีวิตที่รักสงบ มีความเฉลียวฉลาด และมีวัฒนธรรมที่ดีงามก็ตาม แต่ในแง่ของการสื่อสารแล้ว สิ่งมีชีวิตที่เติบโตมาบนดวงดาวที่ห่างไกลออกไปก็อาจจะมีวัฒนธรรมและการตีความสัญลักษณ์บางอย่างต่างไปจากมนุษย์โลกมากก็ได้ เพราะขนาดมนุษย์โลกด้วยกันเอง เพียงแค่มาจากคนละประเทศ เราก็ยังตีความสัญลักษณ์ต่างๆ ไม่เหมือนกันเลย
.
ยกตัวอย่างเช่น การชูนิ้วโป้งเหมือนท่ากด like ในเฟซบุ๊ก สำหรับประเทศอังกฤษ เกาหลีใต้ แอฟริกาใต้ หรือแม้แต่ไทยเราเองก็เข้าใจได้ว่ามันแปลว่า “ยอดเยี่ยม” แต่สำหรับประเทศฝรั่งเศส โปแลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ การชูนิ้วโป้งแบบนี้เป็นการด่าแบบหยาบคาย เหมือนการชูนิ้วกลางให้อย่างไรอย่างนั้น ซึ่งนั่นอาจทำให้คนลุกขึ้นมาต่อยกันเสียเปล่าๆ
.
หรือแม้กระทั่งภาษาท่าทางง่ายๆ อย่างการการพยักหน้า ตามภาษาสากลแปลว่า “ใช่” “ถูกต้อง” หรือ “เห็นด้วย” แต่สำหรับประเทศอินเดีย บัลแกเรีย และกรีซ การพยักหน้าแปลว่า “ไม่ใช่” หรือ “ปฏิเสธ” ดังนั้นถ้าเราตอบว่าใช่แล้วพยักหน้า ผู้ฟังจากประเทศเหล่านี้คงได้มีงงกันแน่ๆ
.
ในเมื่อการสื่อสารมันซับซ้อนขนาดนี้ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่ามนุษย์ต่างดาวจะเข้าใจสิ่งที่เราพยายามจะสื่อ เหมือนอย่างในหนังเรื่อง Mars Attack! ในปี 1996 ที่มีฉากเด็ดคือ มนุษย์โลกปล่อยนกพิราบต้อนรับเอเลี่ยน เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนสันติภาพ แต่ปรากฏว่าเอเลี่ยนไม่เข้าใจ นึกว่ามนุษย์โลกพยายามโจมตีเลยยิงนกพิราบจนเดี้ยง ก่อนจะไล่ถล่มมนุษย์โลกต่อ
.
ยิ่งในส่วนของคำทักทายที่ทางนาซานำเสียงทั้งหมดมาเรียงต่อกันนั้น ถ้าหากไม่รู้บริบทว่ามันคือการทักทาย เอเลี่ยนอาจจะเข้าใจว่ามันคือบทสนทนาของคนที่โต้เถียงกันด้วยไวยกรณ์ที่ไม่มีแบบแผนแน่นอนก็ได้ ด้วยเหตุนี้แทนที่เอเลี่ยนจะเข้าใจว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่รักสงบ จะกลายเป็นเข้าใจว่ามนุษย์เป็นพวกหัวรุนแรง ชอบทะเลาะวิวาท และขี้เถียงแทนเสียมากกว่า
.
นอกจากนี้ แผ่นบันทึกดังกล่าวยังต้องใช้ประสาทสัมผัสอย่างตาและหูในการรับชม แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่าเอเลี่ยนที่เจอแผ่นบันทึกนี้จะมีตาและหูครบ ในเมื่อเอเลี่ยนเหล่านี้เกิดและเติบโตบนดวงดาวที่มีสภาพแวดล้อมต่างไปจากโลก พวกมันอาจจะไม่จำเป็นต้องมีประสาทสัมผัสบางอย่าง หรืออาจจะมีประสาทสัมผัสอื่นเพิ่มเติมขึ้นมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการรับชมและตีความข้อมูลในแผ่นบันทึกด้วย
.
ถ้าหากคุณนึกภาพไม่ออก ก็ลองจินตนาการว่าคุณเป็นเอเลี่ยนที่เกิดมาบนดวงดาวที่มืดมิดดูนะคะ ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้คุณไม่จำเป็นต้องใช้ดวงตา ธรรมชาติเลยวิวัฒนาการให้คุณตาบอด แต่มีประสาทสัมผัสด้านอื่นดีขึ้น แต่จู่ๆ คุณกลับต้องมานั่งดูหนังที่มีแต่เสียงอะไรก็ไม่รู้ที่คุณก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน (เนื่องจากเป็นเสียงของสิ่งมีชีวิตบนโลกที่ห่างไกล) แล้วคุณจะเข้าใจหนังเรื่องนี้อย่างที่ผู้กำกับตั้งใจสื่อหรือไม่
.
นี่ไม่ต้องพูดถึงกรณีที่เอเลี่ยนมีตากับหูครบ ซึ่งเราก็ต้องมาพิจารณาต่ออีกว่าตาของเอเลี่ยนรับภาพได้ในระดับไหน หูรับความถี่ได้ระดับไหน เพราะแค่สิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างสัตว์ต่างๆ ก็มีระดับการรับภาพและเสียงไม่เท่ากับมนุษย์เราเช่นกัน อย่างสุนัขที่มีประสาทการมองเห็นเหนือกว่ามนุษย์มาก ก็จะมองเห็นภาพในทีวีเป็นการเคลื่อนไหวช้าๆ ไม่สมจริง
.
แต่ไม่ว่าแผ่นบันทึกทองคำนี้จะทำให้เอเลี่ยนเข้าใจมนุษย์โลกผิดไปหรือไม่ ตอนนี้แผ่นบันทึกดังกล่าวก็ถูกส่งออกไปไกลเกินกว่าที่มนุษย์จะไปเอากลับมาได้แล้ว ถ้าหากแผ่นบันทึกนี้ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดจริง เราก็คงได้แต่หวังว่ามนุษย์ต่างดาวจะไม่ไปเจอมันเข้าเท่านั้น
.
แล้วเพื่อนๆ ล่ะคะมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง คิดว่าแผ่นบันทึกทองคำนี้จะทำให้เอเลี่ยนสับสนอย่างที่นักวิชาการบอกได้จริงหรือเปล่า และถ้าหากเพื่อนๆ สามารถแก้ข้อมูลในแผ่นบันทึกนี้ได้ เพื่อนๆ จะใส่ภาพหรือเสียงอะไรลงไปเพื่อให้มนุษย์ต่างดาวเข้าใจพวกเรามากขึ้นดี เพื่อนๆ สามารถเสนอไอเดียเข้ามาพูดคุยกันได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ eduHUB ได้เลยนะคะ และถ้าหากใครชื่นชอบบทความสาระดีดีอย่างนี้ ก็อย่าลืมกดไลค์และติดตามเฟสบุ๊คแฟนเพจ eduHUB ไว้ เพื่อจะได้ไม่พลาดบทความและคลิปใหม่ๆ ของพวกเราด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ