ปริศนาเรือแมรี่เซเลสต์

ในโลกใบนี้ยังมีปริศนาอีกมากมายที่ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้ ไม่ว่าจะเป็นปริศนาจากท้องฟ้า ผืนดิน หรือว่าใต้ทะเล มหาสมุทรเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีเรื่องราวมากมายจนกลายเป็นตำนานในการเดินเรือ เรื่องราวที่น่าสนใจเหล่านี้วันนี้พวกเรา eduHUB ได้หยิบยกเรื่องราวที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งมาฝากเพื่อนๆกัน นั่นก็คือ ปริศนาเรือแมรี่ เซเลสต์ แต่ก่อนจะไปรับชม อย่าลืมกด Like กด Share และกดติดตามด้วยนะคะ

สมัยก่อนเรื่องราวของการเดินเรือนั้นมีตำนานมากมายที่เราพูดถึงกัน เพราะการออกเดินเรือในแต่ละครั้งมักจะพบกับความยากลำบาก ซึ่งเอาต้องทำให้ทางบ้านลุ้นว่า จะได้กลับมาเจอหน้าลูกเรือได้อีกครั้งหรือไม่ เพราะอันตรายต่างๆสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาการเดินเรือ

ไม่ว่าจะเป็นระยะทางเส้นทางการเดินเรือที่ยาวนาน หรือสภาพอากาศที่มักจะเจอกับพายุและสภาพอากาศที่ไม่อำนวย สิ่งมีชีวิตใต้น้ำหรือแม้กระทั่งความลึกลับใต้ท้องน้ำมหาสมุทร และยังมีเรื่องราวของโจรสลัดอีกด้วย เรือแมรี่ เซเลสต์ เป็นเรือลำหนึ่งที่ยังคงเป็นปริศนาการหายไปอย่างลึกลับของลูกเรือทั้งลำ จนปัจจุบันยังไม่มีใครทราบว่าพวกเขาเหล่านั้นอยู่ที่ไหนในโลกใบนี้กันแน่ 

ย้อนอดีตไปเมื่อ 130 ปีก่อน เรือเดอี กราเซีย เรือบรรทุกสินค้าของประเทศอังกฤษได้เดินทางล่องเรือมาถึงกลางทะเลมหาสมุทรแอตแลนติกทางตอนเหนือ กัปตันเดวิด มัวร์เฮาส์ กัปตันเรือเดอี กราเซีย ได้มองเห็นเรือใบลำหนึ่งลอยอยู่กลางทะเล เมื่อเดินเรือเข้าไปใกล้ พบว่าเรือใบลำนั้นมีชื่อว่า เรือแมรี่ เซเลสต์

ซึ่งทาง กัปตันเดวิด เมื่อเห็นชื่อเรือก็นึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้เค้าเคยเจอกับกัปตันเรือที่ชื่อว่า “บริกกส์” ซึ่งเป็นกัปตันเรือแมรี่ เซลเลสต์ มาไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง เพราะว่าเรือสองลำนี้เคยไปจอดเทียบท่ารอขนส่งสินค้าอยู่ข้างๆกันในแม่น้ำอีสต์ เมืองนิวยอร์ก ตัวกัปตันบริกกส์เองที่เป็นกัปตันเรือแมรี่ เซเลสต์ ได้นำภรรยาและลูกสาวที่ชื่อ โซเฟีย มาทิลด้า อายุราวๆสองขวบมาด้วย ในส่วนของเรือแมรี่ เซเลสต์นั้นเป็นเรือที่ขนส่งสินค้าประเภทแอลกอฮอล์ดิบ ซึ่งมีมูลค่าถึง 35,000 เหรียญสหรัฐ  ซึ่งจะขนแอลกอฮอล์ดิบเหล่านี้ไปยังประเทศอิตาลี ด้วยสมาชิกบนเรือทั้งสิ้น 10 ราย  ซึ่งเรือแมรี่ เซเลสต์นี้เองได้ออกเดินทางก่อนหน้าเรือเดอี กราเซีย เพียงแค่ 8 วัน 

หลังจากที่กัปตันเดวิดได้พบเจอกับเรือแมรี่ เซเลสต์ที่ลอยอยู่กลางทะเลนั้น เขาก็เกิดข้อสงสัยจึงได้ให้ลูกเรือขึ้นไปสำรวจบนเรือแมรี่ เซเลสต์ ว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งลูกเรือของเขาก็ได้ไปสำรวจและกลับมารายงานว่า บนเรือแมรี่ เซเลสต์ไม่มีสิ่งมีชีวิตอะไรอยู่เลย แต่ที่น่าแปลกใจคือข้าวของทุกอย่างยังอยู่ครบถ้วน มีสิ่งของบางอย่างเสียหาย ดาดฟ้าของเรือเปียกน้ำ มีน้ำอยู่เป็นหย่อมๆของเรือ และส่วนของชั้นล่างมีน้ำทะเลท่วมอยู่ อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆบ้างก็ล้มตะแคง บ้างก็แตกหัก แต่สิ่งของส่วนใหญ่ยังอยู่ครบแม้กระทั่งตัวสินค้าที่เป็นแอลกอฮอล์เอง

แต่มีสิ่งที่หายไป คือน้ำจืด เรือชูชีพ ทะเบียนเรือ และอุปกรณ์สำคัญในการเดินเรือเช่น โครโนมิเตอร์ และ เซ็กส์แทนต์ จากการรายงานของลูกเรือเดอี กราเซีย เมื่อกัปตันเดวิดได้ยินเเบบนั้นก็ยิ่งเป็นห่วง เลยลงไปสำรวจเรือด้วยตัวเอง เขาตรวจดูทุกซอกทุกมุมภายในเรือ พบว่า ในส่วนบริเวณห้องนอนของกัปตันและลูกเรือยังมีสภาพปกติเหมือนว่ายังมีคนอยู่ มีของเล่น มีเสื้อผ้าวางอยู่เกลื่อนกลาด เหมือนเพิ่งผ่านการใช้งานมาใหม่ๆ

ภายในส่วนของที่รับประทานอาหาร ก็ยังพบไข่ลวก ขนมปัง จานซุปวางอยู่บนโต๊ะ พบเจอไปป์และรองเท้าบูธวางทิ้งไว้ เมื่อเดินสำรวจไปยังห้องของต้นหน ก็พบว่าเจอจดหมายที่เขียนเกริ่นนำไว้แค่ “ถึงแฟนสุดที่รัก” และก็ไม่มีข้อความอะไรต่อ เสมือนว่าคนเขียน เมื่อเขียนถึงแค่นี้ แล้วรีบวางมือไปทำอย่างอื่น เมื่อสำรวจต่อไปพบว่าบันทึกการเดินเรือถูกฉีกออกไปหลายหน้า ซึ่งพวกเขาคาดเดากันว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์อะไรจนต้องทำให้กัปตันตัดสินใจสละเรือแล้วใช้เรือชูชีพอพยพลูกเรือออกไป 

ในบันทึกการเดินเรือนั้นเมื่อเปิดดูแล้วพบว่ามีการบันทึกครั้งสุดท้ายวันที่ 25 พฤศจิกายน ซึ่งนับได้ประมาณ 10 วันก่อนที่เรือเดอี กราเซียจะมาเจอเรือแมรี่ เซเลสต์ลอยกลางทะเล ในวันที่ 25 นั้นตำแหน่งเรืออยู่ห่างจากตำแหน่งปัจจุบันถึง 100 ไมล์ นั่นหมายความว่า เรือแมรี่ เซเลสต์ล่องลอยมาเองถึง 100 ไมล์เองโดยไร้คนบังคับทิศทาง

กัปตันเดวิดยังคงเดินสำรวจต่อและพบว่ามีรอยฟันเป็นแผลตรงกาบเรือ ซึ่งน่าจะเกิดจากอาวุธที่มีคม กัปดันเดวิดตัดสินใจลากเรือแมรี่ เซเลสต์มาเทียบท่าที่ประเทศอังกฤษเพื่อให้เจ้าหน้าที่ขึ้นมาสอบสวนว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเรือแมรี่ เซเลสต์นั้นมีอะไรกันแน่ ตำรวจประเทศอังกฤษสันนิษฐานว่า อาจจะเกิดกบฎขึ้นบนเรือ ซึ่งอาจจะมีลูกเรือคนใดคนหนึ่งแอบดื่มแอลกอฮอล์จนเมาและขาดสติก่อกบฎทำร้ายกัปตันและครอบครัว และสุดท้ายใช้เรือชูชีพหนีไป

แต่การสันนิษฐานนี้ค่อนข้างย้อนแย้งกับสถานการณ์ที่มันควรจะเกิดขึ้น เพราะหากลูกเรือหวังจะยึดเรือหรือสมบัติบนเรือแล้วนั้น ทำไมต้องนั่งเรือชูชีพหนีไปด้วย เพราะจากหลักฐานที่พบบนเรือนั้น สมบัติหรือสิ่งของต่างๆ รวมกระทั่งสินค้าก็ยังอยู่ครบ และอีกอย่างคือเรือลำนี้มีสมาชิกเพียงแค่ 10 คน ประกอบไปด้วยกัปตันบริกกส์ ภรรยา ลูกสาว ต้นหน รองต้นหน และสมาชิก ซึ่งมีจำนวนน้อยเกินกว่าที่จะก่อกบฎได้ และที่สำคัญแอลกอฮอล์ที่อยู่บนเรือนั้น เป็นแอลกอฮอล์ดิบที่มีฤทธิ์รุนแรงมาก หากใครกินอาจจะปวดท้องและทรมานแน่ๆ

ดังนั้นด้วยเหตุผลประการทั้งปวง เจ้าของเรือแมรี่ เซเลสต์ ชาวอเมริกันจึงได้นำเหตุผลต่างๆไปโต้แย้งกับข้อสันนิษฐานของตำรวจอังกฤษ ซึ่งในที่สุดตำรวจอังกฤษก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับเรือแมรี่ เซเลสต์ จนกลายเป็นปริศนามาจนถึงปัจจุบัน เมื่อเวลาผ่านไปหลากหลายคนต่างคาดเดาว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรือลำนี้กันเเน่ เพื่อนๆลองไปฟังกัน ว่าพวกเขาคาดเดากันว่าอะไรบ้าง

1. ผู้คนสันนิษฐานว่าเรือแมรี่ เซเลสต์อาจโดนโจรสลัดบาร์บารี่ปล้น ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้ยังไม่น่ามีน้ำหนักพอเพราะว่าโจรสลัดจะปล้นยังไงในเมื่อสิ่งของในเรือยังอยู่ครบเกือบหมด

2.สันนิษฐานว่า มีปลาหมึกยักษ์จากใต้ท้องทะเลมาโจมตีเรือ หรืออาจจะเป็นสัตว์ร้ายใต้ท้องทะเลลึกที่มาทำให้เรือเสียหายและสมาชิกบนเรืออาจพากันหนีตายโดยใช้เรือชูชีพ

3.มีคนสันนิษฐานว่า มันอาจจะเกิดจากมนุษย์ต่างดาวที่มาลักพาตัวสิ่งมีชีวิตบนเรือทั้งหมดไป แต่ข้อนี้ก็มีข้อโต้แย้งเช่นกันเพราะว่า หากมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวแล้วทำไมเรือชูชีพถึงหายไปละ

4.การสันนิษฐานว่า อาจจะเกิดจากเหตุการณ์อะไรบางอย่างจากการที่ถังแอลกอฮอล์ใต้ท้องเรือแตกและผนวกกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวหรือพายุจนทำให้กัปตันคิดว่าเรืออาจจะระเบิดจนต้องให้ลูกเรือทุกคนสละเรือ ซึ่งพวกเขาก็อาจจะลอยไปติดเกาะและได้รับความช่วยเหลือ หรืออาจจะฝ่าคลื่นลมไม่ไหวและจมหายไปในที่สุดก็เป็นไปได้ ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้เองเป็นไปได้มากที่สุดแล้ว

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มันก็อาจจะเป็นอย่างอื่นด้วยก็ได้ เพราะไม่มีใครรู้เลยว่า เกิดอะไรขึ้น และหลังจากนั้นพวกเขา 10 คน ยังมีชีวิตต่อไปอยู่หรือไม่ ซึ่งนี่เองก็กลายเป็นปริศนาแล้ว 130 ปี และนี่คือเรื่องราวของเรือแมรี่ เซเลสต์ เพื่อนๆละคะคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรือลำนี้ ลองมาคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นกัน อาจจะมีคนเดาถูกก็ได้ สำหรับวันนี้มีเรื่องราวดีๆมาฝากเพียงเท่านี้ ก่อนจะไปอย่าลืมกด Like กด Share และกดติดตามด้วยนะคะ