ที่ผ่านมา เราคงเคยเห็นหนังและนิยายดังหลายๆ เรื่องที่เล่าเกี่ยวกับการทดลองลับ เนื่องจากเป็นการทดลองที่โหดร้าย ผิดกฏหมาย หรือผิดจริยธรรมบางอย่าง ทำให้การทดลองนั้นไม่สามารถเผยแพร่ต่อสาธารณชนได้ ซึ่งในชีวิตจริง เราก็คงคิดว่าไม่มีการทดลองแบบนั้นอยู่จริงหรอก แต่บางครั้งความอยากรู้อยากลองของมนุษย์ก็ไร้ขีดจำกัด จนแอบไปทดลองแม้รู้ว่ามันอาจผิดกฏหมายก็ตาม
และวันนี้พวกเรา eduHUB จะขอพาท่านผู้ชมทุกท่านไปดูการทดลองลับสร้างสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งสัตว์ที่ผิดกฏหมายในบางประเทศกัน แต่ก่อนที่จะไปรับชมกัน อย่าลืมกดไลค์ และกดติดตามเฟสบุ๊กแฟนเพจ eduHUB ไว้ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับพวกเราด้วยนะคะ
การทดลองลับนี้ถูกเปิดโปงและตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ของประเทศสเปนชื่อ เอลเปส์ (El Pais) ว่าด้วยเรื่องของการลักลอบเพาะเลี้ยงตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งลิงเป็นครั้งแรกของโลก โดยนักวิทยาศาสตร์เจ้าของโครงการได้ผสมเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน ซึ่งถือว่าผิดกฏด้านจริยธรรมอย่างร้ายแรงในหลายประเทศทั่วโลก ทำให้นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการทดลองนี้พยายามหลบเลี่ยงและหนีมาแอบทดลองที่ประเทศจีนแทน
นักวิทยาศาสตร์คนดังกล่าวมีชื่อว่า ศาสตราจารย์ฮวน คาร์ลอส อิซปิซูอา เบลมอนเต (Juan Carlos Izpisúa Belmonte) เป็นนักวิจัยจากสถาบันซอลค์ (Salk Institute) รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ลำพังเขาคนเดียวอาจจะทำการทดลองนี้ขึ้นมาไม่ได้ เขาจึงได้ร่วมมือกับนักวิจัยด้านวานรวิทยาจากประเทศจีนในการสร้างตัวอ่อนลูกครึ่งวานรขึ้นมา
ศ.อิซปิซูอา กล่าวว่าเขาทำไป เพราะต้องการสร้างอวัยวะสำรองที่มีคุณภาพ อาทิเช่น ตับหรือไตที่สามารถนำไปปลูกถ่ายให้คนไข้ที่ต้องการได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาก็เคยพยายามสร้างตัวอ่อนที่เรียกว่า “ไคเมรา” (Chimera) ขึ้นมาจากการผสมเซลล์ของสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์เข้าด้วยกัน โดยฉีดสเต็มเซลล์ของมนุษย์เข้าไปในตัวอ่อนของหมูและแกะ เพื่อให้ร่างกายของตัวอ่อนที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่สร้างอวัยวะที่มีเซลล์ของมนุษย์ขึ้นมา
ทว่าการทดลองนั้นกลับล้มเหลว เพราะเซลล์ของมนุษย์ไม่สามารถเติบโตและใช้ชีวิตอยู่ในร่างกายของสัตว์อย่างหมูหรือแกะได้ เนื่องจากโอกาสที่เซลล์ของคนและสัตว์จะเข้ากันได้ดีนั้นมีโอกาสน้อยมากๆ อย่างเช่นกรณีของหมูจะมีโอกาสที่เข้ากันได้เพียงแค่ราวๆ 1 ใน 100,000 หรืออาจน้อยกว่านั้น ด้วยเหตุนี้ศ.อิซปิซูอาเลยเปลี่ยนมาทดลองกับตัวอ่อนของลิง เพื่อให้มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้นแทน
แล้วเมื่อข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป เขาก็ถูกหลายฝ่ายวิพากย์วิจารณ์ด้วยเรื่องปัญหาด้านจริยธรรมอย่างหนัก รวมถึงตั้งคำถามว่า แล้วถ้าเกิดสเต็มเซลล์ของมนุษย์ไปเจริญเติบโตที่สมองของสัตว์ล่ะ สติปัญญาของมันจะไม่พัฒนาขึ้นมาจนเหมือนมนุษย์เหรอ และถ้าหากมันมีการรับรู้ได้เหมือนมนุษย์จริง แล้วตอนที่ต้องจบชีวิตมันและตัดอวัยวะออกมาใช้ มันจะโหดร้ายเกินไปมั้ย
สำหรับประเด็นนี้ รองหัวหน้าทีมนักวิจัยชื่อ เอสเตรญา นูเนซ ผู้เป็นนักชีววิทยา จากมหาวิทยาลัยคาทอลิกมูร์เซีย ก็อธิบายว่า ทางทีมงานได้ตระหนักถึงปัญหาและคิดค้นวิธีป้องกันเอาไว้แล้ว โดยพวกเขาได้ตั้งกลไกให้สเต็มเซลล์ของมนุษย์ทำลายตัวเองทันทีถ้าหากมันหลุดเข้าไปที่สมอง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด
แต่เมื่อมีฝั่งที่ต่อต้านก็ย่อมมีฝั่งที่สนับสนุน อย่างเช่นรัฐบาลญี่ปุ่นที่เคยอนุมัติให้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำการทดลองเลี้ยงตัวอ่อนครึ่งคนครึ่งหนูจนกระทั่งมันสามารถลืมตามาดูโลกขึ้นมาได้
รวมถึงผู้แทนจากมหาวิทยาลัยคาทอลิกแห่งมูร์เซีย ประเทศสเปน ที่มองว่าการทดลองนี้ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เนื่องจากศ.อิซปิซูอาและทีมงานไม่ได้เพาะเลี้ยงตัวอ่อนถึงขั้นคลอดออกมาและลืมตาขึ้นมาดูโลกได้ แต่จะเพาะเลี้ยงแค่ 2 สัปดาห์แค่เพื่อให้ตัวอ่อนสร้างอวัยวะมนุษย์ขึ้นมาแล้วจึงทำลายทิ้ง (แบบเดียวกับที่เขาเคยทำการทดลองกับตัวอ่อนของหมูและแกะก่อนหน้านี้เช่นกัน)
นอกจากนี้ การทดลองสร้างตัวอ่อนไคเมรายังเป็นต้นแบบที่ดีในการศึกษาโรคประสาทและโรคสมองเสื่อมบางชนิด อาทิเช่น โรคอัลไซเมอร์ ที่ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่ทำให้หายขาดได้ด้วย ดังนั้นถ้าหากการทดลองนี้สำเร็จ มันจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ในทางการแพทย์เป็นอย่างมาก
แล้วเพื่อนๆ ล่ะคะมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง คิดว่าการทดลองเพาะเลี้ยงตัวอ่อนครึ่งคนครึ่งสัตว์แบบนี้เป็นสิ่งถูกต้องรึเปล่า เพราะถ้าหากการทดลองนี้สำเร็จจริง เราอาจจะสามรถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้อีกเป็นจำนวนมากก็ได้ แต่ในขณะเดียวกันนั่นหมายถึงเราจำเป็นต้องทำลายตัวอ่อนของสัตว์ทิ้งอีกเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน ซึ่งเพื่อนๆ สามารถเข้ามาถกกันในประเด็นนี้ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ eduHUB ได้เลยนะคะ
และถ้าหากใครชื่นชอบบทความสาระดีดีอย่างนี้ ก็อย่าลืมกดไลค์และติดตามเฟซบุ๊คแฟนเพจ eduHUB ไว้ เพื่อจะได้ไม่พลาดบทความและคลิปใหม่ๆ ของพวกเราด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ