จุดจบของโลกตามแบบฉบับของสตีเฟน ฮอว์คิง

แน่นอนว่าหากใครที่สนใจเรื่องดาราศาสตร์และจักรวาลต้องไม่มีใครไม่รู้จัก “สตีเฟน ฮอว์คิง” สตีเฟน ฮอว์คิง เป็นนักฟิสิกส์ผู้จุดประกายความหวังของมวลมนุษยชาติ ผู้ซึ่งศึกษาเรื่องราวจุดเริ่มต้นของจักรวาล ซึ่งก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเขาได้ทำการศึกษาเรื่องราวของโลกในอนาคตว่าโลกนั้นอาจดับสลายไปในที่สุด
.

ซึ่งมันอาจร้ายแรงถึงขั้นกลายเป็นจุดจบของเผ่าพันธ์ุมนุษย์ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุของการทำสงคราม สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป การพุ่งชนของอุกกาบาต และที่หลายๆคนอาจจะคาดไม่ถึง คือจากการก่อจราจลจากหุ่นยนต์ วันนี้พวกเรา eduHUB จะพาเพื่อนๆไปดูคำเตือนของสตีเฟ่น ฮอว์คิง กันว่าเขาได้พูดถึงจุดจบของมนุษย์โลกอย่างพวกเราไว้ยังไง แต่ก่อนจะไปรับชม อย่าลืมกด Like กด Subscribe และกดกระดิ่งแจ้งเตือน เพื่อที่เพื่อนๆจะไม่พลาดการรับชมครั้งต่อไป
.

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักสตีเฟน ฮอว์คิงกันก่อน สตีเฟน ฮอว์คิง คือนักฟิสิกส์ทฤษฎีและนักจักรวาลวิทยาที่มีชื่อเสียงระดับโลก เขาเป็นเจ้าของทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปและการทำนายเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับการปล่อยรังสีของหลุมดำ ความสามารถของสตีเฟน ฮอว์คิงและความพยายามของเขาสามารถทำให้คนทั่วโลกได้รับรู้ว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่เกิดกับร่างกายเขาไม่ใช่อุปสรรคที่จะทำให้เขาหยุดศึกษาจักรวาลแห่งนี้ซึ่งนั่นเอง
.

ทำให้เขากลายเป็นความหวังของใครหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์หรือร่างกายที่ไม่แข็งแรง แต่ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งก็สามารถที่จะสร้างประวัติศาสตร์ให้กับโลกได้อย่างเช่นเขา
.

สตีเฟน ฮอว์คิง ได้เสียชีวิตลงด้วยวัย 76 ปี ที่สหราชอาณาจักรและก่อนที่เขาจะเสียชีวิตนั้นเขาได้เปลี่ยนเป้าหมายการศึกษา จากแต่เดิมศึกษาแต่จักรวาล หลุมดำหรือสิ่งต่างๆที่อยู่ภายนอกโลก แต่เขาได้ปรับเปลี่ยนมามองและศึกษาเรื่องราวของโลกแทนโดยผลของการศึกษาของสตีเฟน ฮอว์คิงก็สร้างความตระหนกตกใจให้กับผู้ที่รับรู้ได้ว่า ตอนนี้โลกของเรานั้นกำลังตกอยู่ในภัยอันตรายคุกคาม
.

ซึ่งจริงๆแล้วที่ผ่านมาโลกของเราก็เจอภัยคุกคามมาโดยตลอด ไม่ว่าจะจากสาเหตุสงครามที่มีระเบิดนิวเคลียร์ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โรคระบาด และการถูกอุกกาบาตก้อนยักษ์เข้ามาชน เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้มีโอกาสจะเกิดขึ้นได้อีกและเกิดขึ้นได้บ่อย
.

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของมนุษย์ที่ต้องปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์เหล่านั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่สตีเฟน ฮอว์คิงให้ความสนใจและเป็นกังวลมากเป็นพิเศษ คืออันตรายและภัยร้ายที่เกิดจากการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence หรือ AI เหมือนกับที่ อีลอน มัสก์ และบิล เกตส์ ได้มีความกังวลเช่นเดียวกัน
.

สตีเฟน ฮอว์คิงเชื่อว่า AI นั้นมีนวัตกรรมและมีการพัฒนาอย่างก้าวหน้าและรวดเร็ว ซึ่งมนุษย์ทั่วไปอาจจะยังไม่สามารถทำความรู้จักและพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับการนำ AI มาใช้งาน แน่นอนว่า AI เป็นสิ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นให้คล้ายกับสมองของมนุษย์ การเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์ คิดเองได้ ทำเองได้ ตัดสินใจเองได้ซึ่งมันช่วยในการทำงานของมนุษย์ในด้านต่างๆได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะด้านธุรกิจและด้านการวิเคราะห์ฐานข้อมูลที่หน่วยงานทางภาครัฐมักจะนำไปใช้
.

แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง AI ก็พอจะมีอันตรายที่เรานั้นคาดไม่ถึงซ่อนอยู่บ้าง เพราะเมื่อไม่นานมานี้มีบางประเทศที่ได้พัฒนาอาวุธที่ทรงพลัง โดยนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ ซึ่งในอนาคตถ้าหากระบบ AI สามารถคิดเอง ตัดสินใจเอง โดยไม่ทำตามการควบคุมของมนุษย์ โลกของเรานั้นอาจจะถูก AI ยึดพื้นที่ และครอบครองโลกแทนมนุษย์เหมือนกับภาพยนต์เรื่องไอรอนแมน ซึ่งถ้าเรื่องราวเหล่านั้นมันเกิดขึ้นจริงได้ แน่นอนว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเราก็คงไม่สามารถจะไปแก้ไขอะไรได้และเผ่าพันธุ์มนุษย์อาจจะต้องล่มสลายไปในที่สุด
.

นอกจากเรื่อง AI ที่สตีเฟน ฮอว์คิงได้กังวลว่ามันอาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการทำให้โลกและมนุษย์ต้องสูญพันธุ์ สตีเฟน ฮอว์คิงก็ยังมีความกังวลอื่นๆอีกเช่น เรื่องสถานการณ์สภาพแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปจนอาจไม่สามารถกลับไปอุดมสมบูรณ์เหมือนแต่ก่อน เพราะโลกของเราตอนนี้พบเจอกับปัญหาสภาวะโลกร้อนที่เป็นปัญหาถาวรจนยากที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมที่เป็นปกติได้
.

ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นนั่นคือ โลกจะกลายสภาพเหมือนดาวศุกร์ซึ่งตัวดาวศุกร์เองนั้นในอดีตเคยมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์คล้ายคลึงกับโลกมาก่อน แต่ด้วยสภาวะเรือนกระจกทำให้ตอนนี้ดาวศุกร์กลายเป็นดาวที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากพื้นดินและหิน แถมยังมีอุณหภูมิที่สูงจนสิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้
.

โลกของเราก็เช่นกันตอนนี้สถานการณ์ของโลกเรานั้นมีประชากรเพิ่มมากขึ้น ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น ความเจริญของเทคโนโลยีต่างๆทำให้ทรัพยากรธรรมชาตินั้นลดน้อยลง ในอนาคตมีแววว่าประชากรจะล้นโลก จะมีการใช้ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่สูงขึ้นจนทำให้โลกร้อนขึ้นและจะกลายเป็นดาวเคราะห์สีแดงไปในที่สุด
.

สตีเฟน ฮอว์คิงยังบอกอีกว่า มนุษย์อาจจะอยู่รอดได้แค่ไม่เกิน 1,000 ปีข้างหน้า เพราะว่าโลกใบนี้เริ่มจะอ่อนแอและไม่สามารถอยู่ได้ ถ้าอนาคตเราไม่พัฒนาเทคโนโลยีอวกาศให้มนุษย์นั้นสามารถไปอยู่บนดาวดวงอื่นได้อาจจะถึงจุดที่สิ้นสุดของมนุษยชาติ
.

ที่สตีเฟน ฮอว์คิงคิดแบบนี้ก็เพราะว่า ด้วยสาเหตุที่เราพูดมาทั้งเรื่อง AI และเรื่องภาวะโลกร้อน มันอาจจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้อีกต่อไป หากมนุษย์ไม่เตรียมพร้อมที่จะย้ายถิ่นฐานตัวเองไปยังดาวดวงอื่นที่สามารถจะดำรงชีวิตได้ ก็อาจจะไม่เหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์ในอนาคตต่อไป ยิ่งตอนนี้เห็นชัดว่ามีโรคระบาดที่คร่าชีวิตมนุษย์ไปหลายรายต่อวัน ยิ่งทำให้สิ่งที่สตีเฟนเคยบอกไว้เหมือนจะเป็นจริงขึ้นมา
.

และเมื่อโลกใบนี้มันไม่น่าอยู่ก็เป็นหน้าที่ของมนุษย์โลกแล้วที่จะต้องหาทางอพยพไปที่ดาวดวงอื่นๆ และคราวนี้การเดินทางออกสู่อวกาศอาจจะเป็นเรื่องที่มนุษย์บนโลกต้องทำจริงๆแล้ว เพราะสตีเฟน ฮอว์คิง เชื่อว่า การกระจายมนุษย์ไปอยู่ในอวกาศอาจจะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดในการรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้ได้ ซึ่งจากการค้นคว้าของนักดาราศาสตร์ในอดีตจนถึงปัจจุบันก็คิดว่าน่าจะเป็นดวงจันทร์ไม่ก็ดาวอังคารที่น่าจะเหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับการที่มนุษย์โลกจะไปดำรงชีวิตอยู่
.

นอกจากนี้เขายังได้แนะนำอีกว่ายังไงก็ตามในอนาคตจะต้องมีการสร้างฐานบนดวงจันทร์และดาวอังคารแน่ๆ และยังแนะนำให้นักดาราศาสตร์นั้นออกไปสำรวจดาวดวงต่างๆที่อยู่นอกระบบสุริยะด้วย เช่น ระบบดาว Alpha Centauri ที่มีดาวที่หลายๆคนเชื่อว่ามันสามารถเอื้อต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ และสตีเฟน ฮอว์คิงยังหวังอีกว่า เทคโนโลยียานอวกาศที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชั่นนั้น จะสามารถพามนุษย์โลกออกเดินทางด้วยความเร็วผ่านปีแสง มุ่งหน้าไปสู่ดาวดวงใหม่ที่จะเป็นถิ่นฐานใหม่ของมนุษย์โลก
.

อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงแค่คำเตือนของสตีเฟน ฮอว์คิงที่ได้ทำการเตือนสติมนุษย์ทุกคนบนโลกว่า อย่าชะล่าใจในการอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ เพราะโลกใบนี้นั้นเริ่มอ่อนแอและเปราะบางมาขึ้นทุกวัน หากเรายังอยู่ยังใช้ทรัพยากรที่มีอยู่บนโลกนี้อย่างนี้ต่อไป ในอนาคตอาจไม่เหลือทรัพยากรอะไรให้เราเอาไว้ใช้ในการดำรงชีวิตและคราวนั้นเองเราอาจต้องอพยพไปอยู่ที่ดาวดวงอื่น ที่พร้อมสำหรับการดำรงชีวิตมากกว่าโลกใบนี้
.

และนี่ก็คือคำเตือนจากสตีเฟน ฮอว์คิงซึ่งเขาได้ศึกษาปรากฎการณ์บนโลกใบนี้ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตลงซึ่งเรื่องราวต่างๆใช่ว่าจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ แต่มันน่าจะเป็นอนาคตที่ทุกคนบนโลกรู้ดีอยู่ในใจอยู่แล้วสำหรับวันนี้เรื่องราวที่เรานำมาฝากเพื่อนๆทุกคนก็มีเพียงเท่านี้ ก่อนจะจากกันไปอย่าลืมกด Like กด Subscribe และกดกระดิ่งแจ้งเตือน ช่อง eduHUB เพื่อที่เพื่อนๆจะไม่พลาดการรับชมครั้งต่อไป