
นับเป็นเรื่องที่เจ็บปวดใจอย่างยิ่งสำหรับเหล่าทาสแมวทั้งหลาย เวลาที่ได้เจอน้องเหมียวสุดน่ารักมายืนอยู่ตรงหน้าแต่กลับเล่นด้วยไม่ได้ นั่นอาจไม่ใช่เพราะน้องแมวไม่เล่นด้วย แต่เป็นเพราะเมื่อเล่นกับแมวทีไร อาการภูมิแพ้ของเราก็กำเริบทุกที ทั้งคันใบหน้า ระคายเคืองตา น้ำตาไหล ไอจามไม่หยุด ไม่ว่าจะตอนที่เล่นกับแมวจรจัดที่พบข้างทางหรือแม้กระทั่งกับแมวที่เราเลี้ยงไว้เองในบ้านเองก็ตาม
.
บางคนอาจจะเดาว่านี่เป็นอาการแพ้ขนแมว ไม่ก็ฝุ่นบนตัวแมวหรือเปล่า แต่ไม่ว่าทาสจะใส่หน้ากากอนามัยระหว่างเล่นกับแมวหรือหมั่นแปรงขนเพื่อกำจัดขนส่วนเกินให้นายท่านอย่างสม่ำเสมอ อาการภูมิแพ้ของทาสกลับไม่ทุเลาลงเลยแม้แต่น้อย จะอาบน้ำให้แมวบ่อยๆ เหมือนสุนัขก็ไม่ได้ เพราะแมวอาจเกิดปอดบวมได้ง่าย
.

มีทางเดียวที่รักษาคือทาสต้องกินยาแก้แพ้และไม่จับน้องแมวเท่านั้น ซึ่งก็คงจะเป็นไปไม่ได้สำหรับเหล่าทาสที่รักน้องเหมียวสุดหัวใจ แต่ทั้งนี้เพื่อนๆ เคยสงสัยกันมั้ยว่า ถ้าหากอาการภูมิแพ้นี้ไม่ได้เกิดจากขนแมวหรือฝุ่น แล้วมันเกิดจากอะไรกันแน่ วันนี้พวกเรามาหาคำตอบไปพร้อมๆ กันนะคะ
.
จากการศึกษาเรื่องภูมิแพ้จากแมวมาอย่างต่อเนื่องยาวนานทำให้เราพบว่า มนุษย์ไม่ได้แพ้ขนแมวหรือฝุ่นบนตัวแมว แต่เป็น “น้ำลาย” ของแมวต่างหาก! เนื่องจากแมวมักทำความสะอาดขนของตนเองด้วยการเลีย และในน้ำลายของแมวมีโปรตีนบางชนิดที่เป็นพิษต่อมนุษย์ ดังนั้นเมื่อเราเล่นกับแมว โปรตีนเหล่านี้ก็จะเข้าสู่ร่างกายของเราและก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้
.

ถ้าเช่นนั้นแล้วแมวจะสร้างโปรตีนเหล่านี้ขึ้นมาทำไมล่ะ? ในเมื่อมนุษย์เราก็ออกจะเอ็นดูและรับใช้แมวดุจเจ้าชีวิตขนาดนี้ การจะหาคำตอบได้นั้นเราต้องหันไปดูสัตว์ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันอย่าง “ลิงลม” (Slow loris) หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ “นางอาย” หรือ “ลิงจุ่น” พวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีดวงตากลมโตบ้องแบ๊ว พบได้ในป่าบริเวณเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งร่างกายของพวกมันก็สามารถสร้างโปรตีนพิษได้เช่นเดียวกัน
.
งานวิจัยเกี่ยวกับพิษของลิงลมนี้ถูกเขียนขึ้นโดยทีมนักชีววิทยา มหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย และถูกตีพิมพ์ในวารสาร Toxins วารสารวิชาการเกี่ยวกับสารพิษและพิษวิทยา ซึ่งหลายคนอาจจะแปลกใจที่รู้ว่าสัตว์น้อยน่ารักอย่างลิงลมก็มีพิษกับเขาด้วย แต่อันที่จริงแล้วลิงลมเป็นสัตว์ตระกูลลิงชนิดเดียวในโลกที่มีพิษอยู่ในตัว แถมพวกมันยังมีฟันที่แหลมคมขนาดกัดเหยื่อจนถึงตายได้เลยด้วย
.

นอกจากนี้ ในงานวิจัยนี้ยังพบอีกด้วยว่าลิงลมไม่ได้ปล่อยพิษออกมาทางน้ำลายเหมือนแมว แต่ปล่อยออกมาจากต่อมใต้รักแร้เพื่อป้องกันตัวเองจากสัตว์นักล่าตัวอื่นๆ และก่อนที่ลิงลมจะกัดศัตรูของมัน ลิงลมจะเลียต่อมพิษใต้รักแร้ตัวเองก่อนเพื่อให้สารพิษผสมกับน้ำลาย แล้วจึงกัดไปที่ตัวศัตรู พิษนี้ส่งผลให้แผลหายช้าลงจนกลายเป็นหลุมเนื้อตายในเวลาต่อมา
.
และถ้าหากเหยื่อที่ลิงลมกัดคือมนุษย์ เราจะเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงจากพิษของมันและหายใจไม่ออกจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ เรียกว่าโหดไม่ใช่เล่นเลยว่ามั้ยคะ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีสัตว์ชนิดใดในโลกที่โหดเกินมนุษย์ เพราะเมื่อพ่อค้าหรือคนล่าสัตว์เถื่อนจับลิงลมได้ พวกเขาก็จะตัดเขี้ยวของพวกมันออกเพื่อป้องกันการกัด ก่อนที่จะส่งมันไปขายเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงต่อไป
.

เมื่ออ้างอิงจากพิษของลิงลมแล้ว ทีมวิจัยจึงคาดว่าแมวเองก็อาจจะสร้างพิษชนิดนี้ไว้เพื่อป้องกันตัวเองเหมือนกัน โดยพวกมันอาจจะวิวัฒนาการสร้างโปรตีนประเภทนี้ขึ้นมาเพื่อขับไล่สัตว์นักล่าอย่างมนุษย์ เนื่องจากโปรตีนในน้ำลายแมวจะไปส่งผลให้ทางเดินหายใจของมนุษย์ตีบ ทำให้คนที่เกิดอาการภูมิแพ้หายใจลำบากขึ้นคล้ายกับพิษของลิงลม
.
ซึ่งอัตราส่วนของคนที่แพ้น้ำลายแมวนั้นมีมากถึง 10-25 เปอร์เซ็นต์ในแต่ละภูมิภาค ดังนั้นการที่แมวสร้างพิษขึ้นมากีดกันมนุษย์นั้นจึงไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแน่
.

ทั้งนี้ นี่เป็นเพียงแนวคิดที่ทีมนักชีววิทยาคาดการณ์ไว้เท่านั้น แต่เรายังคงต้องศึกษาเพื่อหาหลักฐานสนับสนุนกันต่อไปว่าแท้จริงแล้วแมวสร้างพิษขึ้นมาเพื่อขับไล่มนุษย์จริงหรือเปล่า และถ้าหากเราสามารถหาคำตอบได้แล้ว เราอาจจะสามารถหาทางรักษาและแก้ไขต่อไปได้ เพื่อให้คนและสัตว์เลี้ยงสามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขต่อไป
.
โดยรวมแล้ว การสร้างโปรตีนพิษนี้อาจเป็นวิวัฒนาการตั้งแต่น้องเหมียวของเรายังคงเป็นแมวป่า เพื่อให้มนุษย์ที่เป็นนักล่าเกิดอาการภูมิแพ้และถอยห่างออกจากพวกมัน แต่เมื่อแมวป่ากลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์อย่างในทุกวันนี้ เราก็ยังคงเลี้ยงดูพวกมันเป็นอย่างดีแม้ว่ามันจะทำให้เราเป็นภูมิแพ้ก็ตาม ทำให้แมวยังคงส่งต่อยีนส์ที่สร้างน้ำลายพิษนี้ต่อมาเรื่อยๆ
.

สุดท้ายแล้วเราก็ยังไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันแนวคิดนี้ได้อย่างแน่ชัด เราจึงได้แต่คาดการณ์และศึกษากันต่อไป แล้วเพื่อนๆ ล่ะคะมีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้บ้าง คิดว่าน้องแมวที่บ้านกำลังกีดกันเราโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ หรือว่าอันที่จริงแล้วพิษในน้ำลายแมวนี้จะมีไว้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นกันแน่ และถ้าหากใครชื่นชอบบทความสาระดีดีอย่างนี้ ก็อย่าลืมกดติดตามช่องและกดกระดิ่งแจ้งเตือนช่อง eduHUB ไว้ เพื่อจะได้ไม่พลาดบทความและคลิปใหม่ๆ ของพวกเราด้วยนะคะ