จักรวาลมีอะไรบ้าง

โลกของเรานั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆในจักรวาลอันกว้างใหญ่ที่มนุษย์เรานั้นยังไม่สามารถสำรวจได้หมด ถึงแม้จะกี่สิบปีที่ผ่านมาโลกเราได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อออกเดินทางสำรวจอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นดาวอังคาร ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ดวงต่างๆในระบบสุริยะ หรือแม้กระทั่งการสำรวจก้อนอุกาบาตที่วนเวียนอยู่ในวงโคจรของระบบสุริยะ เรียกได้ว่าการสำรวจทุกอย่างที่ผ่านมานี้ เรายังวนเวียนอยู่ในระบบสุริยะอย่างเดียวเท่านั้น แต่จริงๆแล้ว ในจักรวาลมีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่รู้จัก

ในจักรวาลที่กว้างใหญ่นั้นประกอบไปด้วยกาแลกซี่หลากหลายกาแลกซี่ ซึ่งกาแลกซี่ทางช้างเผือก เป็นหนึ่งในหลายๆ
กาแลกซี่ที่ล่องลอยอยู่ในอวกาศ ระบบสุริยะ ก็เป็นระบบหนึ่งที่อยู่ในกาแลกซี่ทางช้างเผือก และโลกของเราก็เป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ในระบบสุริยะ เห็นไหมละคะว่าโลกของเราเป็นแค่ส่วนเล็กๆในจักรวาล ดังนั้นสิ่งที่เรารู้จากในโลกของเรานั้นก็เป็นเพียงสิ่งเล็กๆเพียงเท่านั้น ตั้งแต่เด็กจนโตเรามักจะเคยเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับดวงดาว เราก็จะรู้จักกันแค่ว่าในจักรวาลนั้นมีดาวฤกษ์ มีดาวเคราะห์ มีดาวหาง มีดาวเคราะห์แคระ แต่จะมีใครรู้บ้างว่าในจักรวาลนั้นมีดาวหรือวัตถุต่างๆที่เรายังไม่รู้จักอีกมากมาย ซึ่งวันนี้พวกเรา eduHUB ได้รวบรวมข้อมูลมาฝากเพื่อนในคลิปนี้แล้ว

ขอขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ fatovirtual.com

พวกเราจะขอเรียกสิ่งต่างๆในอวกาศเหล่านี้ว่าวัตถุทางอวกาศ และจะขอแบ่งวัตถุอวกาศเหล่านี้เป็นสองพวก พวกแรกก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างเช่น ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ดาวหาง หรือก้อนอุกาบาตต่างๆ และพวกที่สองคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อการสำรวจและปฏิบัติการต่างๆในห้วงอวกาศ อย่างเช่น ดาวเทียม สถานีอวกาศนานาชาติ ยานสำรวจอวกาศ ซึ่งในคลิปนี้เราจะขอมาอธิบายวัตถุอวกาสจำพวกแรกนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มันจะมีอะไรบ้างมาชมกันเลยค่ะ

1.ดาวฤกษ์ (Star)

ดาวฤกษ์ ก็คือดาวที่มีแสงสว่างในตัวเองและเราสามารถมองเห็นได้ชัดในเวลาวันและกลางคืน ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่จะเป็น
กลุ่มก้อนของก๊าซซึ่งส่วนใหญ่เป็นก๊าซไฮโดรเจนและฮีเลียม ที่มีการหดตัวและมีมวลจำนวนมาก และเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน ซึ่งทำให้เกิดความร้อนและกลายเป็นดาวฤกษ์ ซึ่งในระบบสุริยะของเรามีดาวฤกษ์ก็คือดวงอาทิตย์

  ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Gerd Altmann

2.ดาวเคราะห์ (Planets)

ดาวเคราะห์เป็นดาวที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง และโคจรรอบดาวฤกษ์ ซึ่งส่วนใหญ่ดาวเคราะห์จะโคจรรอบดาวฤกษ์ และดาวเคราะห์บางดวงจะมีดาวบริวาร สำหรับในระบบสุริยะของเรานั้นก็มีข้อกำหนดของดาวเคราะห์ที่มนุษย์เราสร้างหลักเกณฑ์ขึ้นมาว่า การที่จะเป็นดาวเคราะห์ได้นั้น มันต้องโคจรรอบดวงอาทิตย์ในแนวระนาบเดียวกัน และมีแรงโน้มถ่วงที่มาพอที่จะดึงดูดตัวมันเองให้คงสภาพสมดุลได้ อย่างในระบบสุริยะนั้นตอนนี้มี 8 ดวง ประกอบไปด้วยดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ซึ่งเมื่อก่อนจะมีดาวพลูโตด้วย แต่เนื่องจากการตั้งหลักเกณฑ์ดาวเคราะห์ขึ้นมาใหม่ทำให้ดาวพลูโตถูกจัดให้เป็นดาวเคราะห์แคระ

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก CharlVera

3.ดาวเคราะห์น้อย (Asteroids)

ดาวเคราะห์น้อยคือวัตถุทางดาราศาสตร์ขนาดเล็ก ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัส ซึ่งนักดาราศาสตร์เชื่อว่า ดาวเคราะห์น้อยมีโอกาสที่จะและเคยที่จะพุ่งเข้าชนโลกเมื่อ 66 ล้านปีที่แล้วด้วย ซึ่งในการคาดการณ์ว่าการที่มันพุ่งโลกในครั้งนั้นเป็นสาเหตุทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก UKT2

4.ดาวเคราะห์แคระ (Dwarf Planets)

ดาวเคราะห์แคระเป็นดาวชนิดหนึ่งที่คล้ายกับดาวเคราะห์แต่ขาดคุณสมบัติของดาวเคราะห์หลักๆไปเช่น การมีแรงดึงดูด การโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นแนวระนาบ และตัวดาวเคราะห์แคระเองนั้นต้องมีมวลเพียงพอที่จะคงอยู่ในรูปทรงกลม ไม่มีดวงจันทร์บริวาร

ขอขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ universetoday.com

5.ดาวหาง (Comets)

ดาวหาง คือ วัตถุชนิดหนึ่งในระบบสุริยะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ เป็นก้อนน้ำแข็งที่เมื่อโคจรผ่านดวงอาทิตย์และได้รับความร้อนจะระเหิดเป็นแก๊ส ทำให้เกิดชั้นฝุ่นและแก๊สที่ฝ้ามัวล้อมรอบ และทอดเหยียดออกไปภายนอกจนดูเหมือนหาง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์จากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ไปบนนิวเคลียสของดาวหาง  จึงทำให้เราสามารถมองเห็นหางของดาวมีแสงเปล่งประกายออกมา

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก A Owen

6.ดาวตกหรือผีพุ่งใต้ (Meteor)

ดาวตกหรือผีพุ่งใต้เกิดจากสะเก็ดดาวในอวกาศ ที่หลุดร่วงจากดาวดวงอื่นๆ แล้วหลุดลอยพุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลก ซึ่งเมื่อผ่านชั้นบรรยากาศต่างๆ ก็เกิดความร้อนจากการเสียดสีระหว่างผิวสะเก็ดดาวกับอากาศ กลายเป็นดวงไฟส่องสว่างให้เราได้เห็นกัน ซึ่งโดยปกติพวกมันจะถูกเผาไหม้จนหมดก่อนตกลงสู่พื้นผิวโลก

ขอขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ abcnews.go.com

7.อุกกาบาต (Meteorite)

อุกกาบาตเป็นสะเก็ดดาวที่พุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลก ซึ่งคล้ายกับดาวตกแต่มีขนาดใหญ่กว่ามากๆ เมื่อสะเก็ดดาวขนาดใหญ่นี้พุ่งออกมาก็จะเจอกับความร้อนจากการเสียดสีระหว่างผิวสะเก็ดดาวกับอากาศแล้ว แต่เนื่องจากที่มันมีขนาดใหญ่จึงไม่สามารถเผาไหม้สะเก็ดดาวจนหมดได้ มันจึงหลงเหลือชิ้นส่วนที่ตกลงบนพื้นผิวโลก ซึ่งชิ้นอุกกาบาตนี้เองแหละที่นักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ต่างเก็บตัวอย่างของมันทำการศึกษาถึงสภาพทางกายภาพ ทางเคมี และทางชีววิทยาเพื่อสันนิษฐานลักษณะของดาวเจ้าของชิ้นส่วนอุกกาบาตเหล่านั้น เช่น ชิ้นส่วนอุกกาบาตของดาวอังคาร หรือ ดาวเคราะห์น้อย

ขอขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ sciencemag.org

8.หลุมดำ (Black hole)

หลุมดำเป็นเทหวัตถุขนาดใหญ่มากที่มีแรงโน้มถ่วงที่สูงมาก ๆ ดูดกลืนทุกอย่างแม้กระทั่งแสงที่เดินทางไวมากๆ นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าหลุมดำอาจเกิดขึ้นหลังจากที่ดาวฤกษ์ระเบิด ซึ่งก่อให้เกิดแรงดึงดูดมหาศาล มันจะดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างหายเข้าไปอย่างไร้ร่องรอย จึงทำให้ไม่มีสิ่งใดเลยกล้าเข้าใกล้ในบริเวณหลุมดำ เราไม่สามารถมองเห็นหลุมดำได้จากกล้องโทรทรรศน์เพราะมันจะไม่ปรากฏสีอะไรเลย จะสามารถตรวจพบมันได้จากคลื่นความถี่เท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันเราค้นพบหลุมดำในจักรวาลอย่างน้อย 6 ที่

ขอขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ theplanets.org

และนี่คือ เรื่องราววัตถุทางอวกาศต่างๆที่เราควรจะทำความรู้จักกับมัน เพราะสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นพื้นฐานของจักรวาล ถ้าเรารู้จักมันเป็นอย่างดี การทำความเข้าใจในห้วงอวกาศก็ไม่น่าใช่เรื่องอย่าง สำหรับคลิปนี้เรานำเสนอเกี่ยวกับวัตถุทางอวกาศที่ธรรชาติสร้างขึ้น แต่ในครั้งต่อไป เราจะนำวัตถุทางอวกาศที่มนุษย์สร้างขึ้นและส่งวัตถุเหล่านั้นขึ้นไปล่องลอยในอวกาศ ถ้าเพื่อนๆถูกใจคลิปนี้อย่าลืมกดติดตามและกดกระดิ่งช่อง eduHUB กันด้วยนะคะ