เผ่าพันธุ์มนุษย์ในอนาคต

ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันนี้โลกของเรานั้นมีวิวัฒนาการและการพัฒนาจากในอดีตมาไกลมากๆ ทั้งด้านภูมิอากาศ ภูมิประเทศ รวมไปถึงทรัพยากรต่างๆ เราอยู่ในยุคที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและผู้คนต่างให้ความสำคัญด้านธรรมชาติลดลง มนุษย์เองก็เป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งบนโลกที่ดำรงเผ่าพันธุ์มาอย่างยาวนานเคียงคู่กับโลกใบนี้ ซึ่งการที่โลกมีวิวัฒนาการไปนั้น มนุษย์เองก็มีวิวัฒนาการเช่นเดียวกัน

อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าโลกของเรานั้นได้มีวิวัฒนาการจากในอดีตมาอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกก็ต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงสายพันธุ์ให้สามารถดำรงชีวติอยู่ได้บนโลกใบนี้ อย่างในอดีตโลกของเราเคยมีไดโนเสาร์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อยู่มากมาย แต่แล้ววันหนึ่งที่โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง และทำให้ไดโนเสาร์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้จนมันต้องล้มตายและสูญพันธุ์ไปในที่สุด มนุษยก็เป็นสิ่งมีชีวิตภายในโลกที่มีการวิวัฒนาการและพัฒนาสายพันธุ์หรือเผ่าพันธุ์มาเรื่อยๆ

ในเรื่องนี้เองนั้นนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกไม่ได้นิ่งนอนใจแต่กลับให้ความสำคัญกับเรื่องเป็นอย่างมาก เพราะอย่างในปัจจุบันโลกของเราต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บหรือเหตุการณ์ภัยพิบัติหรือว่าภาวะโลกร้อน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้มนุษย์จะต้องปรับตัวให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ภายในสภาพแวดล้อมแบบนี้ และธรรมชาตินี่แหละที่จะคักเลือกผู้ที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อหรือเรียกว่า Natural selection การคัดเลือกโดยธรรมชาติ จากการให้ความสำคัญด้านการวิวัฒนาการของมนุษย์ส่งผลให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้เล็งเห็นความสำคัญในการทำวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาสายพันธุ์ของมนุษย์

อย่างเช่น ศาสตราจารย์ ลอเรนซ์ ดี. เฮิร์ซต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุศาสตร์วิวัฒนาการจากประเทศอังกฤษได้เคยเอ่ยไว้ว่า ในทุกวันนี้มนุษย์เรานั้นมีวิวัฒนาการเพื่อต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม โดยแต่เดิมวิวัฒนาการจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมหรือดีเอนเออย่างช้าๆ กว่าจะพัฒนาจนดูออกึงความเปลี่ยนแปลง ก็ใช้ระยะเวลาไปหลายชั่วรุ่น แตในปัจจุบันกระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างเช่นการพัฒนายีนอย่างรวดเร็วเพื่อให้เกิดภูมิต้านทานของโรคร้ายแรง หรือการพัฒนาพันธุกรรมของยีนที่ปรับตัวให้สามารถดำรงชีวิตในที่ที่ออกซิเจนต่ำ ซึ่งจะพัฒนาให้ยีนสามารถเก็บออกซิเจนได้มากขึ้น ซึ่งยีนที่เปลี่ยนแปลงไปเหล่านี้ก็จะสืบทอดไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานอีกต่อไป

ซึ่งนี่เองก็เป็นการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปัจจุบันวิวัฒนาการยีนของมนุษย์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คือการกลายพันธุ์จากเซลล์สืบพันธุ์ที่มีอายุมาก เพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะว่าหนุ่มสาวสมัยนี้มีลูกกันตอนที่อายุมาก ทำให้เซลล์สืบพันธุ์มีอายุมากตามไปด้วย ซึ่งมันส่งผลให้มีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์มากขึ้น และนี่เองเป็นเหตุผลว่าทำไมในปัจจุบันจึงพบการกลายพันธุ์ในมนุษย์เพิ่มขึ้น

สำหรับเทคโนโลยีด้านอวกาศก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในการที่จะรักษาเผ่าพันธุ์ของมนุษย์เอาไว้ได้ หลายครั้งที่เราได้รับข่าวจากนาซ่าหรือเสปซเอ็กซ์ว่าเราจะมีการดำรงเผ่านพันธุ์มนุษย์โดยการไปสร้างอาณานิคมบนดาวดวงใหม่ นั่นเองหรือเปล่าที่เป็นเหตุผลที่ทำให้นาซ่าและองค์การด้านอวกาศแต่ละประเทศล้วนทุ่มงบประมาณสร้างยานอวกาศเพื่อไปสำรวจดาวดวงต่างๆ เพื่อที่จะค้นหาว่า ดาวดวงไหนมีสิ่งมีชีวิตอยู่บ้าง และดาวดวงไหนสิ่งมีชีวิตสามารถอยู่ได้

แน่นอนว่าเหล่านักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ต่างมองเห็นอนาคตว่าโลกของเรานั้นสักวันก็ต้องเปลี่ยนแปลง และอาจจะเปลี่ยนแปลงไปจนกระทั่งเผ่านพันธุ์มนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เหมือนกับไดโนเสาร์เมื่อหลายพันล้านปีมาก่อน นอกจากการสำรวจดาวดวงต่างๆเพื่อหาที่อยู่ใหม่ให้กับมนุษย์ นาซ่ายังมีการวิจัยและพัฒนาในการลองส่งเชื้ออสุจิของมนุษย์ไปอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักอย่างเช่นอวกาศ

ภายใต้โครงการ Micro-11 โครงการ Micro-11 นี้นาซ่าได้มีการทดลองในการนำอสุจิของมนุษย์และวัวไปเก็บรักษาในสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งมีสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกับดวงจันทร์และดาวอังคาร โดยเขาได้ทำการทดลองเพื่อศึกษาว่าในอนาคตหากมนุษย์ต้องไปอาศัยอยู่ที่ดาวดวงอื่นและต้องเจอกับสภาวะไร้น้ำหนักในอวกาศ เชื้ออสุจินั้นจะยังคงสามารถมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่

โครงการนี้สอดคล้องกับโครงการที่จะไปสร้างอาณานิคมบนดาวอังคารเพราะนอกจากเขาต้องวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีในการสร้างที่อยู่อาศัย การสร้างแหล่งอาหาร แหล่งน้ำ สิ่งหนึ่งที่สำคัญในการสร้างอาณานิคมคือการสืบต่อสายพันธุ์มนุษย์ เพื่ออนุรักษ์เผ่านพันธุ์มนุษย์ไว้ ดังนั้นการทดลองนี้จึงได้ให้ความสนใจในเชื้ออสุจิที่อ่อนไหวต่อรังสีต่างๆในอวกาศ จากทดลองนี้ได้ทำการนำตัวอย่างเชื้ออสุจิจำนวน 10 ตัวอย่างที่ได้รับการบริจาคมา มาทำการทดลองโดยนำมาเก็บที่สถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งมีสภาพไร่น้ำหนัก และมีแรงโน้มถ่วงน้อย รวมถึงอยู่ใกล้กับรังสีต่างๆในอวกาศแม้กระทั่งรังสีอัลตร้าไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ เพื่อที่นาซ่าจะเปรียบเทียบการเคลื่อนที่ของอสุจิและความสามารถในการอยู่รอดของมันเพื่อในอนาคตจะได้ ยืนยันว่า การสืบพันธุ์ในอนาคตจะสามารถทำให้เราขยายเผ่าพันธุ์ได้จริง

อีกการทดลองหนึ่งได้ทำการทดลองนำเชื้ออสุจิจำนวน 10 ตัวอย่างที่ได้รับจากการบริจาคมาทดลองอยู่ในห้องสภาวะเกือบไร้น้ำหนัก บนเครื่องบินที่เป็นเครื่องบินจำลองสภาพสภาวะเกือบไร้น้ำหนักในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งจากการทดลองพบว่า เชื้ออสุจิที่อยู่บนโลกปกติและที่อยู่ในเครื่องบินไม่มีความแตกต่างกันเลย ทั้งด้านความเข้มข้น และการกระจายตัวของ DNA ซึ่งผลการทดลองนี้ก็ได้สรุปว่า อสุจิที่อยู่ในสภาพที่เกือบไร้น้ำหนักในเวลาสั้นๆ สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ปกติเหมือนอยู่บนโลก

แน่นอนว่าในอนาคต มนุษย์ยังต้องมีการพัฒนาการทดลองเช่นนี้อีกครั้งซึ่งอาจจะใช้สถานที่เป็นยานอวกาศ หรือดาวอังคาร ซึ่งผลการทดลองจะดูมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือรวมถึงนำไปพัฒนาการขยายเผ่าพันธุ์มนุษย์เมื่อไปสร้างอาณานิคมบนดาวอังคารสำเร็จ

ไม่มีใครรู้เลยว่าอนาคตเราจะยังอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างสงบสุขหรือไม่ หรือว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปจนเราวิ่งตามไม่ทัน แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือ ในทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ไม่เคยที่จะหยุดคิดค้นและพัฒนาเพื่อที่จะรักษาและดำรงเผ่านพันธุ์ของมนุษยชาติ อย่างพวกเราเอาไว้ให้ได้มากที่สุด อาจมีวิวัฒนาการที่ทำให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมไปอย่างช้าๆ หรืออาจจะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่ทำให้โลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนทำให้เราไม่สามารถปรับตัวได้ นั่นเองคือภารกิจของวิทยาศาสตร์ต่างๆที่จะนำพาเผ่านพันธุ์มนุษย์ของเราให้อยู่รอดปลอดภัยภายใต้โลกที่สวยงามของเราไว้

และนี่คือเรื่องราวของเผ่าพันธุ์ของเราที่ในอนาคตอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงและเราอาจจะต้องไปตั้งอาณานิคมบนดาวอังคาร ซึ่งแน่นอนว่าการสืบพันธุ์เป็นสิ่งสำคัญที่จะดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์เราเอาไว้ได้ ในอนาคตไม่มีใครรู้ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่ที่เรารู้คือตอนนี้เราต้องมาร่วมรักษาโลกใบนี้ให้มีสภาพที่จะทนอยี่กับพวกเราไปได้ในอีกหลายพันปีกันดีกว่า สำหรับเรื่องราวในวันนี้ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ถ้าหากเพื่อนๆคนไหนสนใจอยากให้เราน้ำเสนอเรื่องราวเกี่ยว
กับอะไร สามารถมาคอมเมนท์พูดคุยกับพวกเราได้เลยนะคะ ถ้าหากเพื่อนๆถูกใจบทความนี้ อย่าลืมกดติดตามและกดกระดิ่งช่อง eduHUB กันด้วยนะคะ