ทฤษฎีนึงของการเดินทางข้ามเวลาที่น่าสนใจคือ การเจาะเวลาผ่านรูหนอน Wormhole
หากเวลาคือการเดินทางเป็นเส้นตรง จากอดีตถึงปัจจุบัน เเละต่อไปยังอนาคตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด รูหนอนก็เหมือนกับการพับเส้น จาก2 ตำเเหน่งที่อยู่ห่างกัน ให้มาบรรจบกันเพื่อย่นระยะเวลาเเละเกิดการ
เดินทางข้ามเวลาได้ โดยเราจะเรียกทางลัดนี่ว่า รูหนอน เป็นอุโมงเชื่อมต่อเวลาเเละสถานที่ ที่เเตกต่างกัน
ตามทฤษฎีเเล้ว รูหนอนเหล่านี้อาจจะมีอยู่ทั่วไปในจักรวาล ซึ่งรูหนอนที่ใกล้เรามากที่สุด ก็อยู๋ห่างออกไปถึงหลายล้ายปีเเสง เเละยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจะใช้เดินทางข้ามเวลาได้จริง หรือถ้าใช้ได้ มันจะพาเราไปสู่ช่วงเวลาไหน
ปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่งของทฤษฎีนี้ ก็คือ มีการคำนวนจากนักวิทยาศาสตร์ว่า รูหนอนนั้นสามารถยุบตัวเเละพังทลายลงได้ง่ายเเละมันอาจจะบดขยี้อะไรก็ตามที่อยู่ในนั้น รวมถึงผู้ที่ทำการเดินทาข้ามวเลาด้วย
ศ. ทามารา เดวิส นักจักรวาลวิทยาจากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ของออสเตรเลียบอกว่า เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำให้ปากทางของรูหนอนทั้งสองด้านนั้น เปิดเป็นเวลานานมากพอ ไม่ยุบตัวพังทะลายลงมาซะก่อน-
เพราะต้องใช้พลังงานที่เป็นลบซึ่งสามารถต่อต้านแรงโน้มถ่วงได้ มาทำหน้าที่นี้ แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังค้นหาพลังงานชนิดที่ว่านี้ไม่พบ มีเพียงแต่ “พลังงานมืด” (Dark energy )
ที่เชื่อกันว่าเป็นตัวการทำให้จักรวาลขยายตัวด้วยอัตราเร่งจะมีอยู่จริง และสามารถค้นพบวิธีนำมาใช้งานได้
ศ. โรนัลด์ มัลเลตต์ จากมหาวิทยาลัยคอนเนตทิคัตของสหรัฐฯ ใช้เวลากว่า 10 ปีในการศึกษาเเละคิดค้นหลักการสร้างเครื่อง ไทม์เเมชชีน หรือเครื่องเดินทางข้ามเวลา ด้วยความหวังที่ว่า จะได้เจอกับพ่อของเค้าที่เสียชีวิตไปตั้งเเต่เค้ายังเด็ก
ในปัจจุบัน ศ โรนัลด์ มัลเลตต์ ได้พบหลักการที่เชื่อว่า การสร้างไทม์เเมชชีนนั้นสามารถเป็นจริงได้ โดยที่ทฤษฎีดังกล่าว มีความเเตกต่างไปจาก ทฤษฎีของไอน์สไตน์ เขาได้สร้างอุปกรณ์ขนาดย่อมขึ้น เพื่อสาธิตถึงหลักการดังกล่าว
มีการสร้างลำแสงเลเซอร์ที่หมุนวนเป็นวงกลมในอุปกรณ์ดังกล่าวได้หลายรอบ ซึ่งภายในวงแหวนเลเซอร์นี้ปริภูมิ (Space) จะถูกบิดให้ผิดรูปไปจากเดิมเหมือนกับการคนกาแฟในแก้ว หากปริภูมิและเวลามีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดจริงแล้ว
เวลาในวงแหวนเลเซอร์ก็ย่อมจะต้องเปลี่ยนไปด้วย โดยจะเกิดสภาพเวลาที่หมุนวนเป็นรอบจากอดีตไปสู่อนาคตและย้อนกลับสู่อดีตอีกครั้ง
ในทางทฤษฎีแล้ว หากเราสามารถทำให้เลเซอร์มีความเข้มมากพอในปริภูมิที่เล็กมากจุดหนึ่ง เราก็อาจจะบิดให้เวลาที่เดินเป็นเส้นตรงโดยไม่หวนกลับคืน
กลายเป็นเวลาที่หมุนวนกลับมาบรรจบกันอีกได้หลายรอบโดยไม่จำกัด แต่วิธีนี้จะต้องใช้พลังงานมหาศาล และต้องหาวิธีย่อส่วนสรรพสิ่งให้ลงมาอยู่ในขนาดเล็กจิ๋วระดับไมโครเท่านั้น
ทฤษฎีของไอน์สไตน์เชื่อว่า ทุกสิ่งอยู่ในโครงสร้างของปริภูมิ-เวลาเดียวกันโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง หากเป็นตามเเนวคิดนี้จะทำให้ อดีต ปัจจุบัน เเละอนาคต เป็นจริงเท่าเทียมกันทั้งหมด
เท่ากับว่า เหตุการณ์ทั้งสามช่วงเวลานั้นมีอยุ่เเล้วมาโดยตลอดในปริภูมิ เวลา ตำเเหน่งใตำเเหน่งหนึ่งของจักรวาล
“เหตุการณ์ที่ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่ในอดีต เหตุการณ์ที่เรากำลังทำอยู่ในปัจจุบัน และเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ต่างก็ดำรงอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งของปริภูมิ-เวลาเดียวกันทั้งสิ้น”
ดร. คริสตี มิลเลอร์ จากศูนย์เพื่อการศึกษาเรื่องเวลาของมหาวิทยาลัยซิดนีย์ในออสเตรเลียกล่าว
ถ้าให้เราเปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนกับการที่เราอยู่ที่ประเทศไทย อีกคนอยู่ที่ลอนดอน อีกคนอยู่ที่สิงคโปร์ด้วยในเวลาเดียวกัน ซึ่งทั้งสามสถานที่นั้นต่างก็มีอยู่จริง เพียงเเต่เรารับรู้ได้ถึงสถานที่ ที่เราอยู่เท่านั้น
หากหลักการนี้ เป็นจริง ก็ถือว่าเป็นช่าวดีต่อโอกาสในการพัฒนาไทม์เเมชชีนให้เป็นความจริง เเต่จะเเตกต่างจากที่เราวาดฝันไว้ เมื่อมีข้อจำกัดที่ว่า ในเมื่อ อดีต ปัจจุบัน เเละอนาคตถูกกำหนดไว้ตายตัวอยู่เเล้ว เราจึงไม่สามารถ
เดินทางข้ามเวลา เพื่อไปเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์อะไรในอดีตได้
การเดินทางข้ามเวลาด้วยไทม์เเมชชีนก็ยังไม่สามารถทำได้ในขณะนี้ เเต่ก็เชื่อได้ว่าอนาคตเราอาจจะได้เห็นคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น ก็คงต้องหวังพึ่ง ความก้าวหน้าของวงการวิทยาศาสตร์ เเละเทคโนโลยีใหม่ๆเเล้วละครับ