เป็นเวลากว่าหลายปี ที่องค์การนาซ่าได้ทำการสำรวจ เก็บข้อมูลบนดาวอังคาร เพื่อหาความเป็นได้ได้ต่างๆ เเละข้อมูลใหม่ๆโดยมีความหวังว่าข้อมูลที่เราจะได้รับจากดาวอังคาร จะมีประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ไม่มากก็น้อย รวมไปถึงเราอาจจะได้พบสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่นด้วยเช่นกัน
นักวิทยาศาสตร์ยังคาดหวังว่า ในอนาคตจะต้องส่งมนุษย์ไปสำรวจดาวอังคารให้ได้ จึงต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศให้ก้าวหน้ามากขึ้น เพื่อทำให้มันเกิดขึ้นจริง
ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์เพื่อนบ้านของโลกที่น่าสนใจมาก ปัจจุบันมีโครงการวิจัยเกี่ยวกับดาวอังคารเกิดขึ้นมากมาย ด้วยเหตุผลเดียวคือความเข้าใจธรรมชาติของดาวอังคาร ซึ่งอาจเป็นตัวอย่างที่ดีในการอธิบายความเปลี่ยนแปลงและคาดการณ์อนาคตของโลกได้ จนถึงวันนี้นับเป็นเวลา 40 ปีมาแล้วที่มนุษย์ส่งยานอวกาศไปสำรวจดาวอังคาร นักวิทยาศาสตร์มีความรู้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เครื่องมือวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเทคนิคในการสำรวจถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ดาวอังคาร (Mars) เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นอันดับที่ 4 ในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหมด ดาวอังคารมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5 เท่าของโลก มีโครงสร้างภายในประกอบด้วยแก่นของแข็งมีรัศมีประมาณ 1,700 กิโลเมตร ห่อหุ้มด้วยชั้นแมนเทิลที่เป็นหินหนืดหนาประมาณ 1,600 กิโลเมตร และมีเปลือกแข็งเช่นเดียวกับโลก ดาวอังคารมีสีแดงเนื่องจากพื้นผิวประกอบด้วยออกไซด์ของเหล็ก (สนิมเหล็ก) พื้นผิวของดาวอังคารเต็มไปด้วยหุบเหวต่างๆ มากมาย หุบเหวขนาดใหญ่ชื่อ หุบเหวมาริเนอริส (Valles Marineris) มีความยาว 4,000 กิโลเมตร กว้าง 600 กิโลเมตร ลึก 8 กิโลเมตร นอกจากนี้ดาวอังคารยังมีภูเขาไฟที่สูงที่สุดในระบบสุริยะชื่อ ภูเขาไฟโอลิมปัส (Mount Olympus) สูง 25 กิโลเมตร ฐานที่แผ่ออกไปมีรัศมี 300 กิโลเมตร
ดาวอังคารมีบรรยากาศเบาบางมาก ประกอบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่ซึ่งเกิดจากการระเหิดของน้ำแข็งแห้ง (คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง) ปกคลุมอยู่ทั่วไปบนพื้นผิวดาวอังคาร ที่บริเวณขั้วเหนือและขั้วใต้ของดาวมีน้ำแข็ง (Ice water) ปกคลุมอยู่ตลอดเวลา
ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจดาวอังคารนั้น นาซ่าสามารถอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เเต่เมื่อเร็ว ๆนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น บนดาวอังคาร เเละ นาซ่าเองก็ยังหาคำตอบอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้
วันนี้พวกเรา eduHUB จะพาท่านผู้ชมทุกท่าน ไปสำรวจดาวอังคาร เเละดูสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งหาคำตอบว่า มันคืออะไรกันเเน่ เเต่ก่อนที่เราจะไปรับชมกัน อย่าลืมกดไล กดเเชร์ กดติดตาม เเละกดกระดิ่ง ช่อง eduhub เพื่อเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะครับ
ตั้งเเต่ปี 2012 ที่ยานโรเวอร์ Curiosity คิวริโอซิตี ได้ลงจอดบนดาวอังคารได้สำเร็จ มันก็ได้เก็บข้อมูลที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ประหลาดใจมาเเล้ว หลายครั้ง เเต่ทุกครั้งองค์การนาซ่าก็สามารถอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ จนกระทั้งสิ่งที่ถูกค้นพบล่าสุดนี้ ยังไม่สามารถหาคำอธิบายมาได้เลย
และในวันที่ 12 พย 2019 นาซ่าได้เปิดเผยข้อมูลความเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศบนดาวอังคารที่ยานคิวริโอซิตีได้เฝ้าเก็บมาตลอด 3 ปีเต็ม (ซึ่ง 3 ปีบนดาวอังคารนี้ก็มีระยะเวลาเท่ากับ 6 ปีของโลกเลยทีเดียว) จากข้อมูลนี้ทำให้เราพบว่า บรรยากาศบนดาวอังคารมีการเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลในเเต่ละปี
ซึ่งบรรยากาศของดาวอังคารโดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 96% ไนโตรเจน 1.9% อาร์กอน 1.9% ออกซิเจน 0.16% และอื่นๆ อีก 0.06% ที่เป็นก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์และก๊าซประเภทอื่นอีกนิดหน่อย
ด้วยเหตุนี้ พื้นผิวของดาวอังคารที่หันออกจากดวงอาทิตย์จะเป็นฤดูหนาวและมีความกดอากาศต่ำมาก เนื่องจากเมื่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ พวกมันก็จะอุณหภูมิลดลงจนควบแน่นเป็นน้ำแข็ง ในขณะที่อีกซีกหนึ่งที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์จะเป็นฤดูร้อน ความกดอากาศก็สูงขึ้น เพราะน้ำแข็งที่ระเหิดกลายเป็นก๊าซ
เมื่อดาวอังคารหมุนรอบตัวเอง ฤดูก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้ซ้ำๆ ตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่งปี เราจึงสามารถคาดเดาสัดส่วนและความหนาเเน่นของก๊าซชนิดอื่นๆ ในชั้นบรรยากาศของดาวอังคารได้ตามหลักการแปรผันทางบรรยากาศ ยกเว้นก็แต่ “ออกซิเจน” เท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ออกซิเจนบนดาวอังคารมีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างจากก๊าซประเภทอื่น เพราะตามปกติแล้วนักวิทยาศาสตร์คาดว่า ออกซิเจนควรจะเพิ่มขึ้น 30% ในฤดูร้อน และลดลงมาเท่าเดิมในฤดูหนาว แต่ปรากฏว่าปริมาณออกซิเจนบนดาวอังคารกลับผันผวนอย่างมาก เหมือนกับมีอะไรบางอย่างมาคอยเติมและดึงออกซิเจนกลับไปจนค่าที่ได้มันไม่สอดคล้องกับความกดอากาศที่เกิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์พยายามคิดทฤษฎีต่างๆ ขึ้นมาอธิบายความเปลี่ยนแปลงนี้ แต่สุดท้ายแล้วก็โดนปัดตกไปหมด อย่างเช่น..
- เกิดจากความผิดพลาดของยานคิวริโอซิตี โดยอุปกรณ์เก็บข้อมูลอาจเสียหาย ทำให้เก็บค่าออกซิเจนกลับมาผิด แต่หลังจากตรวจสอบดู ก็พบว่าอุปกรณ์ทุกชิ้นบนยานก็ดำเนินการถูกต้องแล้ว แถมยังไม่มีความเสียหายใดๆ ที่ตัวเครื่อง ดังนั้นข้อมูลที่ถูกส่งกลับมาก็ไม่น่าจะมีความผิดพลาดอะไร
- การแตกตัวของโมเลกุลก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือน้ำในชั้นบรรยากาศอาจจะก่อให้เกิดออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น แต่ทฤษฎีนี้ก็ยังใช้ไม่ได้ เพราะดาวอังคารไม่ได้มีน้ำมากพอที่จะสร้างออกซิเจนได้ขนาดนั้น อีกทั้งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ยังต้องใช้เวลาในการแตกตัวมากกว่านี้ ดังนั้นความผันผวนของออกซิเจนในระดับความเร็วเท่านี้จึงน่าจะเกิดจากสาเหตุอื่นมากกว่า
- บนดวงอังคารอาจจะมีออกซิเจนมากเพียงพออยู่แล้ว แต่ออกซิเจนเหล่านั้นซ่อนอยู่ใต้ดิน สุดท้ายแล้วทฤษฎีนี้ก็ถูกปัดตกไปเช่นกัน เพราะนักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ว่าปัจจัยใดที่ทำให้ดินบนดาวอังคารคายออกซิเจนออกมาได้ แถมทฤษฎีนี้ยังอธิบายเรื่องการหายไปของออกซิเจนในทุกๆ ปีไม่ได้ด้วย
“พวกเราพยายามกันอย่างหนักที่จะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น ระดับออกซิเจนที่เปลี่ยนแปลงอย่างผันผวนขึ้นๆ ลงๆ ทุกฤดูทำให้เราคิดว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวกับบรรยากาศ แต่อาจจะเกิดจากปัจจัยภายนอกที่เรายังไม่สามารถทำความเข้าใจได้ตอนนี้”
เมลิซา เทรเนอร์ (Melissa Trainer) นักวิทยาศาสตร์ประจำสถาบันการบินอวกาศ นาซ่า กล่าว