เครื่องไทม์แมชชีน หรือเครื่องย้อนเวลา คงเป็นหนึ่งในความฝันของใครหลายๆ คนที่จะทำให้เราสามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีต หรือเดินทางไปยังอนาคตได้ แต่มนุษย์เราจะสามารถสร้างไทม์แมชชีนได้จริงมั้ย ก็ยังไม่มีใครทราบได้ ถึงกระนั้นก็ยังมีหลักฐานบางอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าบางทีการย้อนเวลาอาจมีอยู่จริงก็ได้ อย่างกรณีของภาพถ่ายรูปหนึ่งในปี 1940 ที่พิพิธภัณฑ์ของประเทศแคนนาดานำมาจัดแสดง ในภาพนี้เป็นภาพของกลุ่มคนในสมัยก่อนที่ทุกคนแต่งกายด้วยชุดโบราณ ทว่าในกลุ่มคนเหล่านั้นกลับมีชายสวมแว่นกันแดดคนหนึ่งที่แต่งตัวผิดแปลกไปจากยุคสมัยในรูป อีกทั้งยังถือกล้องถ่ายรูปที่ยังไม่เคยมีในสมัยนั้นอยู่ด้วย
ชายในรูปนี้ใช้นามสมมุติว่า John Titor อ้างตนในเว็บบอร์ดว่าเขาสามารถเดินทางข้ามเวลาได้ โดยเขาเดินทางมาจากปี 2036 ในยุคนั้นมนุษย์เราสามารถสร้างเครื่องไทม์แมชชีนได้สำเร็จ และเขาก็ได้เดินทางกลับมาในอดีตเพื่อดูหน้าครอบครัวก่อนจะเกิดสงครามมโลกครั้งที่3
ในตอนนั้นไม่มีใครเชื่อว่าสิ่งที่เขาโพสจะเป็นเรื่องจริง ทำให้ชายคนนั้นได้โพสภาพแบบแปลนของเครื่องไทม์แมชชีนซึ่งสร้างโดยอาศัยหลักฟิสิกส์ขั้นสูงเพื่อเป็นหลักฐาน ซึ่งใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อเขานั้น ก็เป็นวิจารณญาณส่วนบุคคลไป แต่นอกจากเหตุการณ์ย้อนเวลาในครั้งนั้น ก็ยังมีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่โด่งดังและเป็นที่สนใจ นั่นคือเหตุการณ์การหายตัวไปของรถไฟเอฟ626 ซึ่งรถไฟชบวนดังกล่าวได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นเวลาถึง 42 ปี ก่อนจะโผล่กลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในประเทศอิตาลี ซึ่งทางการก็พยายามปิดข่าวมาโดยตลอด และพยายามขับกุมพยานรู้เห็นทุกคนที่อยู่บนรถไฟในเหตุการณ์นั้น
จากคำให้การของพยานบนรถไฟขบวนนั้นกล่าวว่า รถไฟได้แล่นเข้าไปในอุโมงค์แห่งหนึ่ง ในปีพ.ศ.2492 และกลับออกมาในปี 2535 ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกทั้งผู้โดยสารทั้งหมด 120 คน รวมถึงพนักงานประจำรถไฟ 3 คนยังดูไม่แก่ลงเลยแม้แต่น้อย ราวกับทุกคนเดินทางข้ามเวลาไป 42 ปีโดยไม่รู้ตัว ซึ่งตอนที่ลงรถไฟมา ทุกคนก็ยังเชื่อว่าปีนี้เป็นปี 2492 อยู่
เพื่อตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่จึงได้ปิดอุโมงค์ดังกล่าวนี้และตรวจสอบเพิ่มเติม แต่ไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรก็ไม่มีใครค้นพบสิ่งผิดปกติเลย ทำให้หลายคนเริ่มลือกันว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากมนุษย์ต่างดาวที่ขโมยรถไฟไปและนำกลับมาคืนใน 42 ปี ถัดมา บ้างก็ว่ารถไฟขบวนนี้ถูกห่อหุ้มด้วยมิติเวลาที่บิดเบี้ยวและนำทุกคนไปสู่อนาคตในอีก 42 ปีให้หลัง ซึ่งเมื่ออุโมงค์ดังกล่าวกลับมาเปิดให้ใช้งานอีกครั้ง ก็ยังไม่มีรถไฟขบวนไหนหายไปอีกเลย
ปริศนาการหายไปของรถไฟขบวนนี้ยังคงไม่ถูกคลี่คลาย จนกระทั่งต่อมาได้มีข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือพิมพ์โรมเดลี่ที่สามารถนำเทปของมาริโอ ฟรานซินี ผู้เป็นช่างเครื่องของรถไฟขบวนนี้ออกมาเผยแพร่ได้สำเร็จ โดยในเทป ฟรานซินี กล่าวว่า เมื่อรถไฟแล่นเข้าไปในอุโมงค์นั้น เขาก็เห็นหมอกสีขาวปกคลุมรถไฟเต็มไปหมด หลังจากนั้นสมองของเขาก็เริ่มเบลอจนหมดสติไปในที่สุด เมื่อเขาได้สติอีกครั้งเขาก็พบว่ารถไฟได้แล่นออกมาจากอุโมงค์แล้ว เขาคาดว่าเขาน่าจะหมดสติไปเพียงไม่กี่นาที แต่เมื่อเดินทางมาถึงสถานีโบล้อคน่า ปรากฏว่าเวลากลับผ่านไปนานถึง 42 ปีแล้ว
ซึ่งจากคำให้การของผู้โดยสารคนอื่นก็ออกมาคล้ายคลึงกันว่า พวกเขาเห็นหมอกลงจัดหลังจากเข้าไปในอุโมงค์ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครรู้สึกตัวอีก โดยผู้ที่ออกมาให้ข้อมูลเรื่องนี้คือผู้โดยสารชาวต่างชาติที่เคยขึ้นรถไฟขบวนนี้แต่หลบหนีการจับกุมมาได้ ชื่อ “อดอล์ฟ โรเนอร์” เป็นชาวเยอรมันกับ “มาร์ติน บาร์ตเลตต์” ชาวแอฟริกาใต้ โดยโรเนอร์ยังได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมด้วยว่าก่อนที่เขาจะขึ้นรถไฟขบวนนั้นเขามีอายุ 30 ปีและมีลูกชายที่น่ารักอายุ 10 ขวบ แต่ตอนนี้ลูกชายของเขาอายุ 52 แถมยังอ้วนและเป็นโรคหัวใจด้วย ในขณะที่ภรรยาของเขาก็อายุเกือบ 70 ปี เธอกำลังป่วยเป็นโรคเบาหวาน ในขณะที่เขายังคงมีอายุแค่ 30 ปีเท่าเดิม
ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ เรื่องราวปริศนาของรถไฟขบวนดังกล่าว จะยังคงหาคำตอบไม่ได้ เป็นสิ่งเล้นลับที่คนทั้งโลกสงสัย และอยากรู้ ยังต้องกลายเป็นสิ่งอัศจรรย์ ที่แม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่อาจที่จะหาคำตอบได้ โลกของเรานี้ มันช่างมีสิ่งแปลกประหลาด และมีสิ่งซ่อนเร้นอีกมากมาย ที่เรายังไม่อาจเข้าถึง สุดท้ายนี้หากถูกใจบทความของพวกเรา ก็อย่าลืมกดติดตามและกดกระดิ่งช่อง eduHUB กันด้วยนะคะ