ในปี 2050 มนุษย์อาจกลายเป็นอมตะ?

ว่าด้วยเรื่องชีวิตอมตะ หลายคนคงอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้และไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ข้อใดมารองรับได้เลย ที่ผ่านมาเราอาจจะเห็นแต่ในภาพยนตร์หรือในนิยายที่มีตัวละครแวมไพร์ แม่มด หรือซุปเปอร์ฮีโร่ที่มีชีวิตเป็นอมตะ แต่คงไม่มีใครคาดหวังเอาไว้ว่า มนุษย์ในโลกแห่งความเป็นจริงจะสามารถเป็นอมตะได้เช่นกัน นักอนาคตศาสตร์ชื่อดังของโลกได้ออกมาเปิดเผยว่า คนที่เกิดหลังจากปี ค.ศ.1970 ขึ้นไป มีโอกาสที่จะได้มีชีวิตที่เป็นอมตะ เนื่องจากวิทยาการชั้นสูงและเทคโนโลยีในโลกอนาคตสามารถผลักดันเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องจริงได้

.

เรื่องราวการเป็นอมตะของมนุษย์ในอนาคตนั้นจะเป็นอย่างไร วันนี้พวกเราชาว eduHUB จะพาเพื่อน ๆ ไปรับชมกัน แต่ก่อนจะไปรับฟังเรื่องราวสนุก ๆ ในวันนี้ ขอขอบคุณผู้สนับสนุนใจดี BEEclean แอปเรียกแม่บ้านสำหรับคุณ

.

ความทุกข์ของมนุษย์บนโลกใบนี้น่าจะเป็นความตาย ที่เป็นเรื่องราวที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองและคนรอบข้าง หลายคนยังผูกพันและหลายคนยังคงมีอีกหลายสิ่งที่อยากทำบนโลกใบนี้ แต่ร่างกายมนุษย์เป็นร่างกายที่มีกลไกในการเจริญเติบโตถึงแค่ช่วงอายุหนึ่งเท่านั้น และหลังจากนั้น อยู่ที่ว่าใครจะดูแลตัวเองและรักษาสภาพอวัยวะต่าง ๆ ให้สามารถใช้งานได้นานและใช้งานได้อย่างเป็นปกติ

.

ร่างกายมีการเสื่อมโทรมตามกาลเวลา รวมไปถึงสมองศูนย์รวมจิตใจและสิ่งนึกคิดที่อาจจะเสื่อมโทรมไปและทำให้ความจำหรือข้อมูลทั้งชีวิตของเรานั้นหายไป เนื่องจากกลไกร่างกายที่เกิดขึ้นแบบนี้ทำให้มนุษย์หลายคนได้ทำใจและเชื่อว่าจะไม่มีอะไรมาฝืนร่างกายของเราได้ แต่ทุกวันนี้ วิวัฒนาการของเทคโนโลยีถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้เกิดเทคโทโลยีใหม่ ๆ มากมายที่ส่งผลให้มนุษย์อาจมีโอกาสที่จะเป็นอมตะ

.

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อ ดร.เอียน แพรสัน นักอนาคตศาสตร์ชื่อดังของโลกได้ออกมาเปิดเผยว่า เทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นอาจจะทำให้มนุษย์เราที่มีชีวิตอยู่ถึงปี 2050 ได้มีชีวิตเป็นอมตะ โดย ดร.เอียนนี้เป็นนักอนาคตศาสตร์ชื่อดัง จากผลงานการทำนายอนาคตของเขาที่แม่นยำ และทุกครั้งที่เขาได้ออกมาทำนายนั้น มีโอกาสเกิดขึ้นจริงได้ถึง 85% ซึ่งถือว่าเป็นนักอนาคตศาสตร์ที่เชื่อถือได้คนหนึ่ง

.

เขาได้กล่าวเอาไว้ว่า ด้วยปัจจุบันโลกของเรานั้นมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้นมามากมาย มีวิทยาการล้ำหน้า และเขาเชื่อว่า เทคโนโลยีจะทำให้หลายสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้น สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านพันธุกรรมระดับเซลล์ที่จะสามารถทำให้ร่างกายมนุษย์นั้นอ่อนวัยขึ้น อาจจะด้วยการผลิตเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนหรือการสร้างอวัยวะใหม่และปลูกถ่ายอย่างแนบเนียนเพื่อทดแทนอวัยวะที่ใช้งานไม่ปกติหรือเสื่อมสภาพ

.

นอกจากนี้ ดร.เอียน ยังได้กล่าวอีกว่า เขาเชื่อว่าชีวิตมนุษย์ขึ้นอยู่กับจิตใจนึกคิด ร่างกายเป็นเพียงกลไกที่จิตสำนึกสั่งให้ทำ ดังนั้นในอนาคตอาจจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการบันทึกจิตสำนึกของมนุษย์ลงเอาไว้บน Cloud ซึ่งเมื่อร่างกายโรยราลงไป แต่จิตสำนึกยังอยู่ เหมือนว่าคนคนนั้นยังมีตัวตนไม่ไปไหน และจะมีการอัปโหลดจิตสำนึกบน Cloud นั้นลงไปเก็บเอาไว้ในแอนดรอยด์ หรืออาจจะเก็บไว้ในหุ่นยนต์ที่ถูกสร้างมาให้เหมือนคน

.

ก็จะเหมือนกับว่าคน ๆ นั้นยังอยู่ตลอดไป ดร.เอียนเชื่อว่าความอมตะของมนุษย์ก็คือจิตใจ หากร่างกายดับสลายไปแต่จิตใจยังอยู่ ก็จะถือว่าคน ๆ นั้นยังมีตัวตนอยู่ด้วย ทีนี้ถ้าในอนาคตสามารถอัปโหลดจิตสำนึกลงบน Cloud ได้แล้ว ก็จะสามารถไปหาหุ่นยนต์ที่จัดทำขึ้นมาคล้ายกับตัวเรา และอัปโหลดข้อมูลลงไป ก็จะมีเราในร่างหุ่นยนต์เพิ่มขึ้นมา

.

ดร.เอียน ยังบอกอีกว่าเทคโนโลยีนี้น่าจะสามารถเกิดขึ้นได้ภายใน 30 ปีที่จะถึงนี้ ซึ่งช่วงแรกอาจมีค่าใช้จ่ายในการให้บริการมากหน่อย อาจจะให้บริการเฉพาะเศรษฐีเท่านั้น แต่ช่วงหลัง ๆ เทคโนโลยีนี้จะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง มนุษย์เงินเดือนทั่วไปสามารถใช้บริการได้ และถึงเวลานั้น มนุษย์ทุกคนบนโลกก็จะเป็นอมตะ สามารถย้ายจากร่างกายสู่หุ่นยนต์หรือเอนดรอยได้ แล้วเพื่อน ๆ ละคะคิดว่าการอัปโหลดจิตสำนึกบน Cloud มันดีหรือเปล่า และมันอาจจะส่งผลเสียอะไรบ้าง อย่าลืมมาคอมเมนท์พูดคุยกันนะคะ

.

สำหรับเรื่องราวสนุก ๆ ในวันนี้ก็มีเพียงเท่านี้ แต่ก่อนจะจากกันไปในวันนี้หากคุณกำลังมองหาแม่บ้านทำความสะอาดอยู่ใช่ไหม ถ้าใช่ ต้องนี่เลย BEEclean แอปเรียกแม่บ้านสำหรับคุณ